ชมรมท่องเที่ยวอำเภอพรหมคีรี

ตามประวัติเชื่อกันว่า เขาขุนพนม เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชภายหลังจากสิ้น รัชกาลของพระองค์ มีผู้สันนิษฐานว่าพระเจ้าตากสินทรงมิได้ถูกประหารชีวิต อย่างที่พงศาวดารกล่าวอ้าง แต่ ได้ทรงสับเปลี่ยนพระองค์กับพระญาติหรือทหารคนสนิท แล้วเสด็จมายังนครศรีธรรมราช มีการเตรียมการ โดยมีการสร้างป้อมปราการ ทำเชิงเทิน ป้อมวงกลมตามชะง่อนผาเพื่อให้พระเจ้าตากสินได้ประทับเมื่อทรงผนวชเจริญวิปัน สนากรรมกรรมฐาน ณ วัดเขาขุนพนมจนเสด็จสวรรคต

สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติหลายแห่งที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตร ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่ประชาชนต้องการที่จะตามรอยเสด็จสักครั้งในชีวิต พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งไปทอดพระเนตร น้ำตกพรหมโลก อุทยานแห่งชาติเขาหลวง ตำบลพรหมโลก อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2502 ทรงฉายพระรูป บริเวณน้ำตก
พรหมคีรีเมืองน่าอยู่
อำเภอพรหมคีรี หมายถึงสถานที่สิงสถิตย์ของพระพรหม เมืองผลไม้ดก น้ำตกสวย รวยนักการเมือง คำขวัญประจำอำเภอพรหมคีรี ซึ่งเป็นอำเภอที่มีความสวยงามทางธรรมชาติมีพื้นที่ติดกับเทือกเขาหลวงนครศรีธรรมราช ที่มียอดเขาสูงที่สุดในภาคใต้ สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 1,835 เมตร ทำให้สภาพพื้นที่บริเวณนี้มีความชุมชื้นสูง เป็นแหล่งทรัพยากร ต้นน้ำลำธาร หลายสายก่อให้เกิดน้ำตกที่สวยงาม เช่น น้ำตกพรหมโลก น้ำตก อ้ายเขียว น้ำตกสองรัก น้ำตกพรหมประทาน น้ำตกพรหมพิมาน และน้ำตกพิมานเมฆ ลำคลองทุกสายทุกสายที่ไหลมาหล่อเลี้ยง ให้ความชุมชื้นตลอดทั้งปี พรหมคีรีเป็นอำเภอเก่าแก่ที่มีคนอาศัยมากกว่า 200 ปี สภาพพื้นที่ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพรรณนานาชนิด ประชาชนส่วนใหญ่ปรกอบอาชีพทำสวนผลไม้ ที่กลมกลืนกับธรรมชาติมากที่สุด จนกระทั่ง ผลไม้ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นราชินีผลไม้ ส่งออกไปขายทั่วโลก นั่นก็คือ “มังคุดพรหมคีรี” พืชเศรษฐกิจที่ทำรายได้ นอกจากปลูกมังคุดแล้วยังมี ยางพารา และผลไม้อื่นๆมากมาย เช่น เงาะ ทุเรียน ลองกอง ลางสาด จำปาดะ สะตอ หมาก พลูฯลฯ หรือที่ปลูกรวมกันหลายๆชนิด เรียกรวมกันว่า “สวนสมรม”
ชาวพรหมคีรีสมัยก่อน จะปลูกผลไม้ไว้กินเอง กับหาของป่าล่าสัตว์ จับปลาในห้วย หนองคลอง บึง เจ็บป่วยก็รักษาด้วยยาสมุนไพร การเดินทางติดต่อก็ใช้เกวียน และเรือขุด ซึ่งเป็นเรือที่ทำมาจากท่อนซุงขนาดใหญ่ ขุดเจาะ จนเป็นรูปเรือโดยไม่มีรอยต่อ แล้วล่องไปตามลำคลอง เพื่อลำเลียงผลไม้ ไปแลกเปลี่ยนกับข้าว ปลา อาหารทะเล กับชาวอำเภอ ปากพนัง หัวไทร เชียรใหญ่ ซึ่ง เรียกรวมๆว่า “ชาวนอก” ส่วนชาวพรหมคีรี ลาสกา รวมทั้งชาวชนบทที่ตั้งถิ่นฐาน อยู่แถบทิศตะวันออกของ เขาหลวง ซึ่งมีอาชีพทำไร่ ทำสวนผลไม้ ก็ถูกเรียกว่า “ชาวเหนือ” ส่วนพวกที่อาศัยอยุ่ระหว่างต้นน้ำ กับปลายน้ำ เรียกว่า “ชาวเมือง “ซึ่งหมายถึงอำเภอเมืองในปัจจุบัน
อาณาเขตการปกครอง
อำเภอพรหมคีรีเดิม อยู่ในเขตการปกครองของอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ต่อมาปี พ.ศ.2517 กระทรวงมหาดไทย ได้ประกาศให้ตำบลพรหมโลก ตำบลบ้านเกาะ ตำบลอินคีรี ยกฐานะเป็นกิ่งอำเภอ ตามประกาศของกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ.2517 โดยมีที่ทำการครั้งแรก ที่ศาลาการเปรียญวัดพรหมโลก พ.ศ.2519 ได้แยกหมู่บ้านใน ตำบลอินคีรี มาตั้งใหม่หนุ่งตำบล คือ ตำบลทอนหงส์ พ.ศ.2524 กิ่งอำเภอพรหมคีรีได้ยกฐานะเป็นอำเภอ ตามพระราชกฤษฎีกา และแยกหมู่บ้านจาก ตำบลพรหมโลก และตำบลบ้านเกาะ จัดตั้งใหม่อีกตำบล คือตำบลนาเรียง
ปัจจุบันแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 5 ตำบล มีเขตเทศบาลพรหมโลก และ เทศบาลทอนหงส์ มีหมู่บ้าน 37 หมู่บ้าน
ที่ตั้ง
ทิศเหนือ จด บางส่วนของกิ่งอำเภอนบพิตำและ อำเภอท่าศาลา
ทิศใต้ จด บางส่วนของอำเภอลานสกาและ อำเภอเมือง
ทิศตะวันออก จด บางส่วนของอำเภอท่าศาลาและ อำเภอเมือง
ทิศตะวันตก จด บางส่วนของอำเภอลานสกาและเทือกเขาหลวง
ลักษณะทางภูมิประเทศ
อำเภอพรหมคีรีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบและที่ราบสูงเชิงเขา ดินก็จะเกิดจากการผุผังของหินอัคนี และมีหินปูนผสมเป็นหย่อมๆ
ลักษณะของป่าไม้ เนื่องจากพื้นที่บางส่วนตั้งอยู่บนเทือกเขาหลวง มีปริมาณน้ำฝน เฉลี่ยสูงตลอดปี ป่าแถบนี้เป็นป่าดิบชื้น ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นลักษณะย่อยๆได้ตามระดับความสูงของพื้นที่ และลักษณะของพืชเด่นที่ขึ้นบริเวณนั้นๆ ความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า ทำให้ยังคงมีสัตว์ป่าอาศัยอยู่ ที่พบเห็นได้ง่าย เช่น หมูป่า ค่าง ชะนี กระจง ชะมด เม่น นกนานาชนิด
ป่าดิบชื้นในพื้นที่ต่ำ คือป่าที่อยู่พื้นที่ราบสูงไม่เกิน 300 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีพืชพรรณไม้หลายชนิดขึ้นอยู่หนาแน่น มีเรือนไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ลดหลั่นกันไป เป็นสามระดับชั้น ตามพื้นป่าจะเป็นไม้พุ่ม และพืชคลุมดิน ตลอดจนไม่เถาวัลย์ เฟิร์น บอน ขิง ข่า เตย หวาย
ป่าดิบชื้นเขา คือป่าที่อยู่ในพื้นที่สูงกว่า 300 แต่ไม่เกิน1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีลักษณะโครงสร้างคล้ายป่าประเภทแรก แต่มีพวกพญาไม้ เต่าร้างยักษ์ มหาสดำหรือเฟิร์นยักษ์ เป็นพืชเด่น ขึ้นอยู่ตามหุบเขาที่มีลำธารน้ำไหลผ่าน
ป่าดิบเขาต่ำ คือป่าที่อยู่ในพื้นที่สูงกว่า1,000 เมตร แต่ไม่เกิน 1,500เมตรจากระดับน้ำทะเล มีลักษณะของพรรณไม้แตกต่างจาก 2 พวกแรกอย่างเด่นชัด บริเวณนี้มีเมฆหมอกและความชื้นในอากาศสูงอยู่เสมอ ไม้ยืนต้นที่เด่นๆได้แก่ ไม้แดงเขา ไม้มังตาน พืชชั้นต่ำจำพวก มอส เฟิร์น ขนาดเล็กจะเกาะอาศัยอยู่ทั่วไปตามเปลือกไม้และโขดหิน
ป่าดิบเขาเขา คือป่าที่อยู่ในพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,500เมตรขึ้นไป มีเมฆปกคลุมตลอดทั้งปี หรือเรียกอีกชื่อว่า ป่าเมฆ ป่าบริเวณนี้จะมีลมพัดแรง อากาศหนาวเย็น ความชื้นสัมพัทธ์สูงเกือบ 100เปอร์เซ็นต์ ไม้ยืนต้นส่วนใหญ่มีรูปร่างแคระแกร็น สูงประมาณ 3-5 เมตร พื้นที่บริเวณนี้จะมีมอส เฟิร์น ที่สำคัญคือเฟิร์น บัวแฉกใหญ่ บัวแฉกใบมน ขึ้นตามยอดเขา ไม้ที่สำคัญได้แก่ ตะเคียน จำปาป่า หลุมพอ ยาง กระบก อบเชย ไม้หอม นอกนั้นยังพบไม้ตระกูลหวาย เตาร้างยักษ์ เต่าร้างแดง บัวแฉก ซึ่งพบ เฉพาะในเขตเขาหลวงนครศรีธรรมราชเท่านั้น
อาณาเขตการปกครอง
อำเภอพรหมคีรีเดิม อยู่ในเขตการปกครองของอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ต่อมาปี พ.ศ.2517 กระทรวงมหาดไทย ได้ประกาศให้ตำบลพรหมโลก ตำบลบ้านเกาะ ตำบลอินคีรี ยกฐานะเป็นกิ่งอำเภอ ตามประกาศของกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ.2517 โดยมีที่ทำการครั้งแรก ที่ศาลาการเปรียญวัดพรหมโลก พ.ศ.2519 ได้แยกหมู่บ้านใน ตำบลอินคีรี มาตั้งใหม่หนุ่งตำบล คือ ตำบลทอนหงส์ พ.ศ.2524 กิ่งอำเภอพรหมคีรีได้ยกฐานะเป็นอำเภอ ตามพระราชกฤษฎีกา และแยกหมู่บ้านจาก ตำบลพรหมโลก และตำบลบ้านเกาะ จัดตั้งใหม่อีกตำบล คือตำบลนาเรียง
ปัจจุบันแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 5 ตำบล มีเขตเทศบาลพรหมโลก และ เทศบาลทอนหงส์ มีหมู่บ้าน 37 หมู่บ้าน
ที่ตั้ง
ทิศเหนือ จด บางส่วนของกิ่งอำเภอนบพิตำและ อำเภอท่าศาลา
ทิศใต้ จด บางส่วนของอำเภอลานสกาและ อำเภอเมือง
ทิศตะวันออก จด บางส่วนของอำเภอท่าศาลาและ อำเภอเมือง
ทิศตะวันตก จด บางส่วนของอำเภอลานสกาและเทือกเขาหลวง
ลักษณะทางภูมิประเทศ
อำเภอพรหมคีรีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบและที่ราบสูงเชิงเขา ดินก็จะเกิดจากการผุผังของหินอัคนี และมีหินปูนผสมเป็นหย่อมๆ
ลักษณะของป่าไม้ เนื่องจากพื้นที่บางส่วนตั้งอยู่บนเทือกเขาหลวง มีปริมาณน้ำฝน เฉลี่ยสูงตลอดปี ป่าแถบนี้เป็นป่าดิบชื้น ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นลักษณะย่อยๆได้ตามระดับความสูงของพื้นที่ และลักษณะของพืชเด่นที่ขึ้นบริเวณนั้นๆ ความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า ทำให้ยังคงมีสัตว์ป่าอาศัยอยู่ ที่พบเห็นได้ง่าย เช่น หมูป่า ค่าง ชะนี กระจง ชะมด เม่น นกนานาชนิด
ป่าดิบชื้นในพื้นที่ต่ำ คือป่าที่อยู่พื้นที่ราบสูงไม่เกิน 300 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีพืชพรรณไม้หลายชนิดขึ้นอยู่หนาแน่น มีเรือนไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ลดหลั่นกันไป เป็นสามระดับชั้น ตามพื้นป่าจะเป็นไม้พุ่ม และพืชคลุมดิน ตลอดจนไม่เถาวัลย์ เฟิร์น บอน ขิง ข่า เตย หวาย
ป่าดิบชื้นเขา คือป่าที่อยู่ในพื้นที่สูงกว่า 300 แต่ไม่เกิน1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีลักษณะโครงสร้างคล้ายป่าประเภทแรก แต่มีพวกพญาไม้ เต่าร้างยักษ์ มหาสดำหรือเฟิร์นยักษ์ เป็นพืชเด่น ขึ้นอยู่ตามหุบเขาที่มีลำธารน้ำไหลผ่าน
ป่าดิบเขาต่ำ คือป่าที่อยู่ในพื้นที่สูงกว่า1,000 เมตร แต่ไม่เกิน 1,500เมตรจากระดับน้ำทะเล มีลักษณะของพรรณไม้แตกต่างจาก 2 พวกแรกอย่างเด่นชัด บริเวณนี้มีเมฆหมอกและความชื้นในอากาศสูงอยู่เสมอ ไม้ยืนต้นที่เด่นๆได้แก่ ไม้แดงเขา ไม้มังตาน พืชชั้นต่ำจำพวก มอส เฟิร์น ขนาดเล็กจะเกาะอาศัยอยู่ทั่วไปตามเปลือกไม้และโขดหิน
ป่าดิบเขาเขา คือป่าที่อยู่ในพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,500เมตรขึ้นไป มีเมฆปกคลุมตลอดทั้งปี หรือเรียกอีกชื่อว่า ป่าเมฆ ป่าบริเวณนี้จะมีลมพัดแรง อากาศหนาวเย็น ความชื้นสัมพัทธ์สูงเกือบ 100เปอร์เซ็นต์ ไม้ยืนต้นส่วนใหญ่มีรูปร่างแคระแกร็น สูงประมาณ 3-5 เมตร พื้นที่บริเวณนี้จะมีมอส เฟิร์น ที่สำคัญคือเฟิร์น บัวแฉกใหญ่ บัวแฉกใบมน ขึ้นตามยอดเขา ไม้ที่สำคัญได้แก่ ตะเคียน จำปาป่า หลุมพอ ยาง กระบก อบเชย ไม้หอม นอกนั้นยังพบไม้ตระกูลหวาย เตาร้างยักษ์ เต่าร้างแดง บัวแฉก ซึ่งพบ เฉพาะในเขตเขาหลวงนครศรีธรรมราชเท่านั้น
ลักษณะภูมิอากาศ
เป็นแบบคาบสมุทร มีฝนตกตลอดปี ฤดูฝนจะเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม และ ตกหนักในเดือนตุลาคมถึงธันวาคม ฝนจะเริ่มน้อยลงในเดือน มกราคม ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน จัดได้ว่าเป็นระยะฝนทิ้งช่วงโดยตกน้อยกว่าเดือนอื่นๆ
สถานที่ท่องเที่ยว
ทิวเขานครศรีธรรมราช มีภูเขาสูงจำนวนมากมาย โดยเฉพาะเป็นจุดกำเนิดของน้ำตกขนาดใหญ่ ที่มีน้ำไหลตลอดทั้งปี มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวชมมากมาย สร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่โดยการนำผัก ผลไม้ที่เก็บมาจากสวน มาวางขายเส้นทางผ่าน สองข้างทาง
น้ำตกพรหมโลก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จประพาสเมื่อปี พ.ศ.2502 ดังมีพระปรมาภิไธยย่อของทั้งสองพระองค์ จารึกอยู่บนผาน้ำตก มีความสวยงามท่ามกลางป่าเขาหลวง มีลานหินขนาดใหญ่ และแอ่งน้ำที่รองรับน้ำที่ตกมาจากหน้าผาสูง ลดหลั่นกันไปมีด้วยกันทั้งหมด 4ชั้น นักท่องเที่ยวสามารถเดินเที่ยวชม เดินทางลัดเลาะไปตามริมผาสูงชันไปยังชั้นต่างๆ และสายน้ำไหลไปจากน้ำตก เรียกว่าคลองนอก ที่มีน้ำไหลตลอดทั้งปี การเดินทางไปยังน้ำตกพรหมโลกมาตามถนนสาย นคร-นบพิตำ ทางหลวง 4016 ถึงสี่แยกพรหมโลกเลี้ยวซ้ายเข้าไปประมาณ 5กิโลเมตร
น้ำตกอ้ายเขียว น้ำตกขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่ง การเกินทางก็สะดวกสบายไปตามถนนสาย 4016 เลยมางเข้าน้ำตกพนกมโลกปีอีก 2กิโลเมตร แล้วเลียวซ้ายตรงเข้าไปอีกประมาณ 5กิโลเมตร สองข้างทาง จะเต็มไปด้วยสวนผลไม้ หรือสวนสมรม ที่ปลูกหลายชนิด กลมกลืนไปกับธรรมชาติ โดยยังคงรักษาสภาพผืนป่าไว้ น้ำตกอ้ายเขียวมีทั้งหมด 19 ชั้น ลดหลั่นกันไป ไม่สูงชันเหมือนน้ำตกพรหมโลก
วัดเขาขุนพนม แหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และโบราณคดี และเป็นศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการเรียนรู้ อีกทั้งเป็นที่ตั้งของพระตำหนักเมืองนคร ที่ประทับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ที่อยู่ด้านทิศตะวันตกของวัดเขาขุนพนม
พระธาตุชัยมณีศรีฆโลก วัดเขาปูน ตามความเชื่อของชาวบ้านถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีเทวดาสองพี่สิงสถิตย์อยู่ และเมื่อพ.ศ.2528 ท่านอาจารย์แก้ว ปุญญภาโค ได้ธุดงค์มาปฏิบัติธรรม ได้นิมิตว่าสร้างพระธาตุบนเขาปูน อีกทั้งชาวบ้านศรัทธา ช่วยสละเงินคนละเล็กละน้อย ปรับพื้นที่บนเขาปูน เมื่อประชาชนทั่วสารทิศ ทราบข่าวก็เดินทางมาช่วยเหลือทำบุญ สมทบทุนจนสร้างพระธาตุเสร็จใน พ.ศ.2530 และนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือ มาก่อสร้างขึ้นมากมายดังที่พบเห็นในปัจจุบัน
สถานที่ท่องเที่ยว
ทิวเขานครศรีธรรมราช มีภูเขาสูงจำนวนมากมาย โดยเฉพาะเป็นจุดกำเนิดของน้ำตกขนาดใหญ่ ที่มีน้ำไหลตลอดทั้งปี มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวชมมากมาย สร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่โดยการนำผัก ผลไม้ที่เก็บมาจากสวน มาวางขายเส้นทางผ่าน สองข้างทาง
น้ำตกพรหมโลก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จประพาสเมื่อปี พ.ศ.2502 ดังมีพระปรมาภิไธยย่อของทั้งสองพระองค์ จารึกอยู่บนผาน้ำตก มีความสวยงามท่ามกลางป่าเขาหลวง มีลานหินขนาดใหญ่ และแอ่งน้ำที่รองรับน้ำที่ตกมาจากหน้าผาสูง ลดหลั่นกันไปมีด้วยกันทั้งหมด 4ชั้น นักท่องเที่ยวสามารถเดินเที่ยวชม เดินทางลัดเลาะไปตามริมผาสูงชันไปยังชั้นต่างๆ และสายน้ำไหลไปจากน้ำตก เรียกว่าคลองนอก ที่มีน้ำไหลตลอดทั้งปี การเดินทางไปยังน้ำตกพรหมโลกมาตามถนนสาย นคร-นบพิตำ ทางหลวง 4016 ถึงสี่แยกพรหมโลกเลี้ยวซ้ายเข้าไปประมาณ 5กิโลเมตร
น้ำตกอ้ายเขียว น้ำตกขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่ง การเกินทางก็สะดวกสบายไปตามถนนสาย 4016 เลยมางเข้าน้ำตกพนกมโลกปีอีก 2กิโลเมตร แล้วเลียวซ้ายตรงเข้าไปอีกประมาณ 5กิโลเมตร สองข้างทาง จะเต็มไปด้วยสวนผลไม้ หรือสวนสมรม ที่ปลูกหลายชนิด กลมกลืนไปกับธรรมชาติ โดยยังคงรักษาสภาพผืนป่าไว้ น้ำตกอ้ายเขียวมีทั้งหมด 19 ชั้น ลดหลั่นกันไป ไม่สูงชันเหมือนน้ำตกพรหมโลก
วัดเขาขุนพนม แหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และโบราณคดี และเป็นศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการเรียนรู้ อีกทั้งเป็นที่ตั้งของพระตำหนักเมืองนคร ที่ประทับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ที่อยู่ด้านทิศตะวันตกของวัดเขาขุนพนม
พระธาตุชัยมณีศรีฆโลก วัดเขาปูน ตามความเชื่อของชาวบ้านถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีเทวดาสองพี่สิงสถิตย์อยู่ และเมื่อพ.ศ.2528 ท่านอาจารย์แก้ว ปุญญภาโค ได้ธุดงค์มาปฏิบัติธรรม ได้นิมิตว่าสร้างพระธาตุบนเขาปูน อีกทั้งชาวบ้านศรัทธา ช่วยสละเงินคนละเล็กละน้อย ปรับพื้นที่บนเขาปูน เมื่อประชาชนทั่วสารทิศ ทราบข่าวก็เดินทางมาช่วยเหลือทำบุญ สมทบทุนจนสร้างพระธาตุเสร็จใน พ.ศ.2530 และนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือ มาก่อสร้างขึ้นมากมายดังที่พบเห็นในปัจจุบัน
เขียนโดย ตะกายดาว ศุภิษฐฌาณ์
อุทยานแห่งชาติเขาหลวง
อุทยานแห่งชาติเขาหลวง เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำหลายสาย เช่น แม่น้ำตาปี แม่น้ำปาก พนัง คลองกรุงชิง คลองเขาแก้ว คลองท่าแพ คลองระแนะ และคลองละอาย อุทยานแห่งชาติเขาหลวงมีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาสูง ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุม
ทั้งสองด้าน ทำให้มีสภาพชื้นและปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยสูง พืชพรรณไม้ส่วนใหญ่จึงเป็นสังคมพืชป่าดงดิบ
ซึ่งสามารถจำแนกออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. ป่าดิบเขา เป็นป่าที่ขึ้นอยู่เหนือระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 1000 เมตรขึ้นไปจนถึงยอดเขาที่ มีเมฆหมอกคลุม พันธุ์ไม้ที่สำคัญได้แก่ เหมือด กำยาน แดงเขา ก่อเขา บุญนาคเขา จำปูนช้าง ฯลฯ พืชคลุมดินส่วนใหญ่คล้ายป่าดิบเขาระดับต่ำแต่จะมีพืชหญ้าขึ้นมาก ได้แก่ บัวแฉกใบใหญ่ บัวแฉกใบมน หวายเหิง หวายแซ่ม้า หวายเขา เป็นต้น
2. ป่าดงดิบชื้น ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของอุทยานแห่งชาติเกือบทั้งหมด พืชประจำ ถิ่นและไม้ที่มีค่าทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ได้แก่ ยาง ตะเคียนทอง ไข่เขียว ตะเคียนทราย สยาขาว กระบากดำ กระบากขาว พันจำ หลุมพอ เอียน เชียด อบเชย เทพทาโร จำปาป่า ก่อ แดงคาน แดงเขา ยมป่า ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีกุหลาบพันปี กุหลาบเขาหลวง เต่าร้างยักษ์ หวายหอม หวายไม้เท้า ไผ่เกรียบ ก้ามกุ้งหลายชนิด และมหาสดำซึ่งเป็นเฟินต้นประจำถิ่นของอุทยานแห่งชาติเขาหลวง เป็นต้น
สัตว์ป่า
อุทยานแห่งชาติเขาหลวงเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าไม่น้อยกว่า 327 ชนิด สัตว์ป่าที่พบเห็น เช่น สมเสร็จ เลียงผา ลิงกัง ลิงเสน ค่างดำ ค่างแว่นถิ่นใต้ ชะนีธรรมดา เสือลายเมฆ เสือดำ เสือโคร่ง หมีหมา เก้ง กวางป่า เม่นหางพวง สัตว์จำพวกนก เช่น นกอินทรีดำ ไก่ฟ้าหน้าเขียว ไก่ป่า นกเขาเปล้าธรรมดา นกหว้า นกเงือกหัวหงอก นกเงือกปากดำ นกกก นกชนหิน นกโพระดกหลากสี นก
พญาปากกว้างท้องแดง และนกกินปลี ฯลฯนอกจากนี้ ในบริเวณเขาหลวงยังพบสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกที่หา
ยากหลายชนิด เช่น งูลายสายมลายู เต่าจักร งูหลามปากเป็ด งูสามเหลี่ยมหัวหางแดง จิ้งจกนิ้วยาวกำพลตุ๊กแกป่าโคนนิ้วติด จิ้งเหลนเรียวปักษ์ใต้ งูเขียวดงลาย กบเขาท้องลาย กบตะนาวศรี เขียดงูศุภชัย เป็นต้นในบริเวณแหล่งต้นน้ำลำธารของอุทยานแห่งชาติเขาหลวง จะพบสัตว์น้ำในปริมาณน้อยเนื่องจากมีกระแสน้ำไหลแรง ปริมาณสารอาหารในน้ำมีน้อย พื้นน้ำเป็นหินและทรายไม่เหมาะกับการ
เจริญเติบโตของสัตว์น้ำ ที่พบได้แก่ ปลาพลวง ปลาแฮะ ปลาไส้ขม ปลาซิวน้ำตก ปลาอีกอง ปลาติดหิน ปู น้ำตก เป็นต้น
สถานที่ท่องเที่ยว
จุดชมทิวทัศน์ยอดเขาหลวง เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของภาคใต้คือ สูงประมาณ 1,835เมตร อยู่ในท้องที่บ้านคีรีวง ตำบลกำโลน อำเภอลานสกา ห่างจากตัวเมืองนครศรีธรรมราช (ไปตามเส้นทางเดียวกับน้ำตกกะโรมแต่ถึงก่อน) ประมาณ 20 กิโลเมตร บนยอดเขาหลวงปกคลุมด้วยป่าดิบเขาแน่นทึบจนได้รับการขนานนามว่าเป็น หลังคาสีเขียวแห่งภาคใต้ ผืนป่าที่มีความชุ่มชื้นจึงทำให้พบมอส เฟิร์น และไลเคนนานาชนิด ปกคลุมทั่วไปตามต้นไม้ ก้อนหิน และพื้นป่า ยอดเขาหลวงเป็นแหล่งรวมของพันธุ์พืชบนที่สูง เช่น ก่อชนิดต่างๆ กุหลาบป่าแดงเขา โดยเฉพาะพืชหายาก เช่น บัวแฉก ซึ่งเป็นเฟินที่หากยากมาก รวมทั้งกล้วยไม้หลากหลายชนิด ยอดเขาหลวงจึงจัดเป็นบริเวณที่มีความเปราะบาง ต้องอยู่ในความควบคุมดูแลของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติถ้ำแก้วสุรกานต์ อยู่ในท้องที่หมู่ที่ 1 ตำบลเขาแก้ว อำเภอลานสกา ก่อนถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นถ้ำหินปูนที่มีหินงอกหินย้อยสวยงามมาก บนผนังถ้ำเป็นรูปปั้นลักษณะต่าง ๆ และมีน้ำหยดตามเพดานถ้ำ ความลึกของถ้ำแก้วสุรกานต์แห่งนี้ ประมาณ 700 เมตรทางเดินเข้าไปภายในถ้ำจะเป็นทรายและเป็นทางน้ำไหลในช่วงฤดูน้ำหลาก น้ำตกกรุงชิง “กรุงชิง” เคยเป็นชุมชนมาแต่สมัยโบราณ เป็นพื้นที่ที่มีประวัติการต่อสู้อันเกิดจากความขัดแย้งในด้านความคิด ในการปกครอง พื้นที่ผืนป่ากรุงชิง โดยพรรคคอมมิวนิสต์แห่ง ประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2517 สภาพพื้นที่ของกรุงชิงเป็นพื้นที่ราบสูงและมีภูเขาล้อมรอบ ซึ่งชาวบ้านเรียกกันว่า “อ่าวกรุงชิง” น้ำตกกรุงชิงเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ เกิดจากคลองกรุงชิงซึ่งไหลตัดผ่านหุบผาหินแกรนิต ลดระดับตามความลาดเอียงของภูเขา ก่อเกิดเป็นชั้นน้ำตกอันงดงาม น้ำตกกรุงชิงเปิดให้เที่ยว ชมจำนวน 7 ชั้น คือ หนานมัดแพ หนาน ปลิว หนานจน หนานโจน หนานต้นตอ หนานวังเรือบิน และหนานฝนเสน่หา ซึ่งเป็นชั้นที่งดงามที่สุด นอกจากการเที่ยวชมน้ำตกและศึกษาประวัติศาสตร์แล้วน้ำตกกรุงชิงยังมีแหล่งธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพที่สวยงาม มีเส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติ เข้าค่ายอนุรักษ์ธรรมชาติ ศึกษาพันธุ์ไม้ และชมน้ำตกกะโรม เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามอีกแห่งหนึ่ง น้ำตกกะโรมมีชั้นมความหลากหลายของธรรมชาติ เพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ
และรื่นรมย์เพียง 7 ชั้น คือ หนานทุเรียน หนานช่องไทรหนานไผ่ หนานน้ำราง หนานผึ้ง หนานเตย และหนานดาดฟ้าซึ่งเป็นชั้นที่สวยงามที่สุด แลเห็นสายน้ำไหลพรั่งพรูลงจากหน้าผาสูงและลาดชัน 45 องศา ลดหลั่นลงมาตามโขดหินกว้างจนถึงแอ่งน้ำใหญ่เบื้องล่างที่สามารถลงเล่นน้ำได้ ตามปกติสายน้ำจะไหลแยกเป็น 2 สาย พอถึงช่วงหน้าฝนสายน้ำจะไหลหลากแผ่เต็มหน้าผาน่าชมมาก
ในปี พ.ศ. 2450 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ 4 พระองค์ ได้
เสด็จประทับทอดพระเนตรพื้นที่หนานดาดฟ้า ในปี พ.ศ. 2460 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว น้ำตกท่าแพ เรียกชื่อตามลำคลองที่ไหลผ่านหมู่บ้านท่าแพ อยู่ในท้องที่หมู่ที่ 14 ตำบลช้างกลาง กิ่งอำเภอช้างกลาง น้ำตกท่าแพมีชั้นน้ำตก 10 ชั้น ได้แก่ หนานแพน้อย หนานนางครวญหนานเตย หนานอ้ายซวย หนานปู หนานไผ่ และหนานน้ำรางน้ำตกยอดเหลือง คำว่า “ยอดเหลือง” มีที่มาจากความเหลืองของดอกต้นโยทะกาเพลิงหรือ ชงโคป่า ซึ่งขึ้นปกคลุมยอดไม้บนภูเขา ซึ่งจะออกดอกสีเหลืองในช่วงฤดูแล้ง น้ำตกป่ายอดเหลืองมีชั้นน้ำตกจำนวน 4 ชั้น ได้แก่ หนานเตย หนานกระโดด หนานหญ้าคา และหนานปลิวน้ำตกพรหมโลก อยู่ในท้องที่หมู่ 5 ตำบลพรหมโลก อำเภอพรหมคีรี นํ้าตกพรหมโลกเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่สวยงาม มีชั้นน้ำตกประมาณ 50 ชั้น เปิดบริการให้ท่องเที่ยวได้เพียง 4 ชั้น คือหนานวังน้ำวน หนานวังไม้ปัก หนานวังหัวบัว และหนานวังอ้ายแล ในปี พ.ศ. 2502 พระบาทสมเด็จพระ
เจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จประพาสน้ำตกแห่งนี้ และทรงจารึกพระปรมาภิไธยย่อ “ภ.ป.ร.” และ “ส.ก.” ไว้ที่หน้าผาน้ำตกชั้นที่ 1 (หนานวังน้ำวน)น้ำตกระแนะ อยู่ในท้องที่หมู่ที่ 6 ตำบลพิปูน อำเภอพิปูน มีแหล่งธรรมชาติและน้ำตกที่สวยงาม ประมาณ 10 ชั้นน้ำตกสวนขัน ตั้งอยู่ในท้องที่ หมู่ที่ 3 ตำบลสวนขัน กิ่งอำเภอช้างกลาง น้ำตกสวนขันเปิดให้เข้าเที่ยวชมความงามจำนวน 3 ชั้น นอกจากนี้บริเวณโดยรอบน้ำตกยังมีธรรมชาติที่สวยงามเหมาะแก่การเดินป่าเพื่อชมธรรมชาติและศึกษาพันธุ์ไม้น้ำตกสวนอาย เป็นน้ำตกที่มีความงามแต่ไม่ใหญ่นัก ตั้งอยู่ในท้องที่หมู่ที่ 5 ตำบลคลองละอาย อำเภอฉวาง น้ำตกสวนอาย มีชั้นน้ำตก 5 ชั้น เปิดบริการให้ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจเพียง 3 ชั้นคือ หนานช่องส้มหลอด หนานต้นเหรียง และหนานเลากาน้ำตกเหนือฟ้า อยู่ในท้องที่หมู่ที่ 6 ตำบลพิปูน อำเภอพิปูน น้ำตกเหนือฟ้ามีชั้นน้ำตกที่มีความสวยงามประมาณ 10 ชั้น นอกจากนี้น้ำตกเหนือฟ้ายังเป็นแหล่งรวมประวัติศาสตร์ อันเกิดจากการขัดแย้งในความคิดด้านการปกครองระหว่างผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ผกค.) กับฝ่ายรัฐบาล เนื่องจากพื้นที่น้ำตกเหนือฟ้ามีเขตติดต่อกับพื้นที่น้ำตกกรุงชิงน้ำตกอ้ายเขียว น้ำตกอ้ายเขียว หรือเรียกอีชื่อหนึ่งว่า น้ำตกในเขียว ตั้งอยู่เส้นทางเดียวกับทางไปน้ำตกพรหมโลก ในท้องที่หมู่ที่ 5 ตำบลทอนหงส์ อำเภอพรหมคีรี น้ำตกอ้ายเขียวมีที่มาจากทุเรียนบ้านในละแวกนั้นที่มีชื่อว่า “อ้ายเขียว” ชาวบ้านจึงให้ชื่อน้ำตกแห่งนี้ว่า “น้ำตกอ้ายเขียว”
เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่มีธรรมชาติงดงาม เกิดจากคลองในเขียวซึ่งมีความยาวของลำน้ำประมาณ 35กิโลเมตร มีชั้นน้ำตกไหลลดหลั่นกันประมาณ 100 ชั้น ไหลลงมาจากหน้าผาสูงลดระดับตามความลาดเอียงของภูเขา ทางอุทยานแห่งชาติอนุญาตให้ท่องเที่ยวได้เพียง 9 ชั้น หนานช่องไทร หนานบังใบ หนานไม้ไผ่ หนานเสือผ่าน หนานบุปผาสวรรค์ หนานหินกอง หนานหัวช้าง หนานไทรกวาดลาน และหนานฝาแฝดผาเหยียบเมฆ ตั้งอยู่ในท้องที่ หมู่ที่ 6 ตำบลทอนหงส์ อำเภอพรหมคีรี บริเวณหน้าผาเป็นสันแหลมสามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้ทั้ง 2 ด้าน ดูดวงอาทิตย์ขึ้นปลายแหลมตะลุมพุก ชมพันธุ์พืชที่หายาก เช่น ก้ามกุ้ง กุหลาบเขาหลวง เฟิน และปาล์ม
เส้นทางศึกษาธรรมชาติน้ำตกกรุงชิง เป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติน้ำตกกรุงชิง ซึ่งเส้นทางผ่านป่าดิบชื้นแน่นทึบ เต็มไปด้วยพืชพรรณแปลกตาน่าสนใจ เช่น มหาสดำ ดงชก หลุมขวาก บันไดสามขั้น ศาลาประตูชัย หลุมพอยักษ์ ถ้ำประตูชัย-สนามบาส ป่าชิง-ศาลาดงชิง ช้างร้องไห้ ป่ามังคุด ศาลาฝนแสนห่า และน้ำตกกรุงชิง และร่องรอยประวัติศาสตร์เกี่ยวกับคอมมิวนิสต์ เส้นทางนี้ยังเหมาะสำหรับ
ดูนกด้วย ตลอดเส้นทางจะพบนกป่าทางใต้มากมาย เช่น นกโพระดกเคราเหลือง นกบั้งรอกปากแดง นกหัวขวานลายคอแถบขาว นกปรอดอกลายเกล็ด นกเขียวปากงุ้ม ฯลฯเส้นทางศึกษาธรรมชาติน้ำตกกะโรม เป็นสถานีสื่อความหมายเกี่ยวกับมอส ไลเคนส์
เฟิร์นมหาสดำ ไทร ปลวก รา เห็ด การทดแทนสังคมพืช และพูพอน
สภาพปัญหา1) ด้านขยะมูลฝอย และการกำจัดขยะมูลฝอยจากจากนักท่องเที่ยว
2) การบุกรุกพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติจากชุมชนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณรอบๆ อุทยาน
3) ด้านการถือครองที่ดินของราษฎรในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาหลวง
การศึกษาวิจัยในพื้นที่
1. การศึกษาวิจัย เรื่อง โครงการ ความหลากหลายของพืชวงศ์ขิงในเขตอุทยานแห่งชาติ
เขาหลวง จุงหวัดนครศรีธรรมราช
ผู้วิจัย ผศ.ดร.ฉัตรชัย งามเรียบสกุล
2. การศึกษาวิจัย เรื่อง การจำแนกกลุ่มประชากรของปลาพลวง(Greater Brook carp)
ในน้ำตกกรุงชิง น้ำตกพรหมโลกและน้ำตกอ้ายเขียว อุทยานแห่งชาติเขาหลวง จังหวัดนครศรีธรรมราช
ด้วยการวิเคราะห์เชิงพหุ
ผู้วิจัย นายมนิต พลหลา
3. การศึกษาวิจัย เรื่อง การจัดการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่เหมาะสมกับศักยภาพของ
ชุมชนบ้านปลายอวน ต.พรหมโลก อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช
#ผู้วิจัยน.ส.ชุลีพร ราชเวช
4. การศึกษาวิจัย เรื่อง คุณภาพน้ำและชนิดของปลาน้ำจืดที่พบบริเวณน้ำตกพรหมโลก
น้ำตกวังไม้ปักและน้ำตกอ้ายเขียว อุทยานแห่งชาติเขาหลวง จ.นครศรีธรรมราช
ผู้วิจัย สุภาพร สุทิน และมุกดาวัลย์ จันทน้อย
5. การศึกษาวิจัย เรื่อง การศึกษาภูมิปัญญาชุมชนในการจัดการทรัพยากรป่าไม้ในเขต
อุทยานแห่งชาติเขาหลวง อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช
ผู้วิจัย สิริพรรณ ทองปัสโน
6. การศึกษาวิจัย เรื่อง การจัดการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อย่างมีส่วนร่วมในตำบลกรุงชิง
จังหวัดนครศรีธรรมราช
ผู้วิจัย เชาวลิต สิทธิฤทธิ์
7. การศึกษาวิจัย เรื่อง อบต. เขาพระ เปิดใจลอง “วิจัยท้องถิ่น” ค้นตัวตน เพื่อคนท้องถิ่น
ผู้วิจัย เกศสุดา สิทธิสันติกุล
8. การศึกษาวิจัยเรื่อง แนวทางการจัดการพื้นที่ป่ากันชนของอุทยานแห่งชาติเขาหลวง :
กรณีศึกษา ตำบลกำโลน อำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช
ผู้วิจัย : อร่าม ศรีปรางค์ : 2543
9. การศึกษาวิจัยเรื่อง การออกแบบและพัฒนาเส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติ เส้นทาง
น้ำตกกรุงชิง อุทยานแห่งชาติเขาหลวง จังหวัดนครศรีธรรมราช
ผู้วิจัย : มนตรี บัวแก้ว : 2540
10. การศึกษาวิจัยเรื่อง การประเมินคุณภาพการจัดการด้านนันทนาการในอุทยาน
แห่งชาติ กรณีศึกษาอุทยานแห่งชาติเขาหลวง จังหวัดนครศรีธรรมราช
ผู้วิจัย : ปรีชา วิทยพันธุ์ : 2545
11. การศึกษาวิจัยเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางเศรษฐกิจ-สังคมของราษฎร ที่มี
ส่วนร่วมต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ บริเวณอุทยานแห่งชาติเขาหลวง ตำบลกำโลน อำเภอลาน
สกา จังหวัดนครศรีธรรมราช
ผู้วิจัย : สืบสกุล หนูไชยา : 2543
วิเคราะห์ภาพรวมเพื่อนำไปสู่การศึกษาวิจัย
อุทยานแห่งชาติเขาหลวง เป็นอุทยานแห่งชาติที่ประกาศจัดตั้งมานานแล้ว แต่ยังประสบ
ปัญหาการบุกรุกพื้นที่เพื่อต้องการที่ดินทำกินของราษฎรในพื้นที่ รวมทั้งปัญหาขยะมูลฝอยซึ่งเกิดจากการ ท่องเที่ยว ดังนั้นเพื่อการแก้ไขปัญหาและการจัดการอุทยานแห่งชาติที่มีประสิทธิภาพ จึงควรมีการศึกษาวิจัยในเรื่องต่อไปนี้
การวิจัยเพื่อการแก้ปัญหา
- ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเชิงบูรณาการ
- ด้านการส่งเสริม และสนับสนุนการมีสวนร่วมของชุมชนในการอนุรักษ์
- ด้านการป้องกันทรัพยากรธรรมชาติ
- ด้านการจัดการท่องเที่ยว
- ด้านการจัดการขยะมูลฝอย
การวิจัยเพื่อการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
- การศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพ
- การศึกษาการจัดการการท่องเที่ยวเชิงระบบนิเวศ
- การศึกษาด้านการจัดการขยะมูลฝอยเชิงบูรณาการ
- การปลูกจิตสำนึก และทัศนคติในการอนุรักษ์ระดับท้องถิ่น
ซึ่งสามารถจำแนกออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. ป่าดิบเขา เป็นป่าที่ขึ้นอยู่เหนือระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 1000 เมตรขึ้นไปจนถึงยอดเขาที่ มีเมฆหมอกคลุม พันธุ์ไม้ที่สำคัญได้แก่ เหมือด กำยาน แดงเขา ก่อเขา บุญนาคเขา จำปูนช้าง ฯลฯ พืชคลุมดินส่วนใหญ่คล้ายป่าดิบเขาระดับต่ำแต่จะมีพืชหญ้าขึ้นมาก ได้แก่ บัวแฉกใบใหญ่ บัวแฉกใบมน หวายเหิง หวายแซ่ม้า หวายเขา เป็นต้น
2. ป่าดงดิบชื้น ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของอุทยานแห่งชาติเกือบทั้งหมด พืชประจำ ถิ่นและไม้ที่มีค่าทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ได้แก่ ยาง ตะเคียนทอง ไข่เขียว ตะเคียนทราย สยาขาว กระบากดำ กระบากขาว พันจำ หลุมพอ เอียน เชียด อบเชย เทพทาโร จำปาป่า ก่อ แดงคาน แดงเขา ยมป่า ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีกุหลาบพันปี กุหลาบเขาหลวง เต่าร้างยักษ์ หวายหอม หวายไม้เท้า ไผ่เกรียบ ก้ามกุ้งหลายชนิด และมหาสดำซึ่งเป็นเฟินต้นประจำถิ่นของอุทยานแห่งชาติเขาหลวง เป็นต้น
สัตว์ป่า
อุทยานแห่งชาติเขาหลวงเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าไม่น้อยกว่า 327 ชนิด สัตว์ป่าที่พบเห็น เช่น สมเสร็จ เลียงผา ลิงกัง ลิงเสน ค่างดำ ค่างแว่นถิ่นใต้ ชะนีธรรมดา เสือลายเมฆ เสือดำ เสือโคร่ง หมีหมา เก้ง กวางป่า เม่นหางพวง สัตว์จำพวกนก เช่น นกอินทรีดำ ไก่ฟ้าหน้าเขียว ไก่ป่า นกเขาเปล้าธรรมดา นกหว้า นกเงือกหัวหงอก นกเงือกปากดำ นกกก นกชนหิน นกโพระดกหลากสี นก
พญาปากกว้างท้องแดง และนกกินปลี ฯลฯนอกจากนี้ ในบริเวณเขาหลวงยังพบสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกที่หา
ยากหลายชนิด เช่น งูลายสายมลายู เต่าจักร งูหลามปากเป็ด งูสามเหลี่ยมหัวหางแดง จิ้งจกนิ้วยาวกำพลตุ๊กแกป่าโคนนิ้วติด จิ้งเหลนเรียวปักษ์ใต้ งูเขียวดงลาย กบเขาท้องลาย กบตะนาวศรี เขียดงูศุภชัย เป็นต้นในบริเวณแหล่งต้นน้ำลำธารของอุทยานแห่งชาติเขาหลวง จะพบสัตว์น้ำในปริมาณน้อยเนื่องจากมีกระแสน้ำไหลแรง ปริมาณสารอาหารในน้ำมีน้อย พื้นน้ำเป็นหินและทรายไม่เหมาะกับการ
เจริญเติบโตของสัตว์น้ำ ที่พบได้แก่ ปลาพลวง ปลาแฮะ ปลาไส้ขม ปลาซิวน้ำตก ปลาอีกอง ปลาติดหิน ปู น้ำตก เป็นต้น
สถานที่ท่องเที่ยว
จุดชมทิวทัศน์ยอดเขาหลวง เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของภาคใต้คือ สูงประมาณ 1,835เมตร อยู่ในท้องที่บ้านคีรีวง ตำบลกำโลน อำเภอลานสกา ห่างจากตัวเมืองนครศรีธรรมราช (ไปตามเส้นทางเดียวกับน้ำตกกะโรมแต่ถึงก่อน) ประมาณ 20 กิโลเมตร บนยอดเขาหลวงปกคลุมด้วยป่าดิบเขาแน่นทึบจนได้รับการขนานนามว่าเป็น หลังคาสีเขียวแห่งภาคใต้ ผืนป่าที่มีความชุ่มชื้นจึงทำให้พบมอส เฟิร์น และไลเคนนานาชนิด ปกคลุมทั่วไปตามต้นไม้ ก้อนหิน และพื้นป่า ยอดเขาหลวงเป็นแหล่งรวมของพันธุ์พืชบนที่สูง เช่น ก่อชนิดต่างๆ กุหลาบป่าแดงเขา โดยเฉพาะพืชหายาก เช่น บัวแฉก ซึ่งเป็นเฟินที่หากยากมาก รวมทั้งกล้วยไม้หลากหลายชนิด ยอดเขาหลวงจึงจัดเป็นบริเวณที่มีความเปราะบาง ต้องอยู่ในความควบคุมดูแลของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติถ้ำแก้วสุรกานต์ อยู่ในท้องที่หมู่ที่ 1 ตำบลเขาแก้ว อำเภอลานสกา ก่อนถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นถ้ำหินปูนที่มีหินงอกหินย้อยสวยงามมาก บนผนังถ้ำเป็นรูปปั้นลักษณะต่าง ๆ และมีน้ำหยดตามเพดานถ้ำ ความลึกของถ้ำแก้วสุรกานต์แห่งนี้ ประมาณ 700 เมตรทางเดินเข้าไปภายในถ้ำจะเป็นทรายและเป็นทางน้ำไหลในช่วงฤดูน้ำหลาก น้ำตกกรุงชิง “กรุงชิง” เคยเป็นชุมชนมาแต่สมัยโบราณ เป็นพื้นที่ที่มีประวัติการต่อสู้อันเกิดจากความขัดแย้งในด้านความคิด ในการปกครอง พื้นที่ผืนป่ากรุงชิง โดยพรรคคอมมิวนิสต์แห่ง ประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2517 สภาพพื้นที่ของกรุงชิงเป็นพื้นที่ราบสูงและมีภูเขาล้อมรอบ ซึ่งชาวบ้านเรียกกันว่า “อ่าวกรุงชิง” น้ำตกกรุงชิงเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ เกิดจากคลองกรุงชิงซึ่งไหลตัดผ่านหุบผาหินแกรนิต ลดระดับตามความลาดเอียงของภูเขา ก่อเกิดเป็นชั้นน้ำตกอันงดงาม น้ำตกกรุงชิงเปิดให้เที่ยว ชมจำนวน 7 ชั้น คือ หนานมัดแพ หนาน ปลิว หนานจน หนานโจน หนานต้นตอ หนานวังเรือบิน และหนานฝนเสน่หา ซึ่งเป็นชั้นที่งดงามที่สุด นอกจากการเที่ยวชมน้ำตกและศึกษาประวัติศาสตร์แล้วน้ำตกกรุงชิงยังมีแหล่งธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพที่สวยงาม มีเส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติ เข้าค่ายอนุรักษ์ธรรมชาติ ศึกษาพันธุ์ไม้ และชมน้ำตกกะโรม เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามอีกแห่งหนึ่ง น้ำตกกะโรมมีชั้นมความหลากหลายของธรรมชาติ เพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ
และรื่นรมย์เพียง 7 ชั้น คือ หนานทุเรียน หนานช่องไทรหนานไผ่ หนานน้ำราง หนานผึ้ง หนานเตย และหนานดาดฟ้าซึ่งเป็นชั้นที่สวยงามที่สุด แลเห็นสายน้ำไหลพรั่งพรูลงจากหน้าผาสูงและลาดชัน 45 องศา ลดหลั่นลงมาตามโขดหินกว้างจนถึงแอ่งน้ำใหญ่เบื้องล่างที่สามารถลงเล่นน้ำได้ ตามปกติสายน้ำจะไหลแยกเป็น 2 สาย พอถึงช่วงหน้าฝนสายน้ำจะไหลหลากแผ่เต็มหน้าผาน่าชมมาก
ในปี พ.ศ. 2450 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ 4 พระองค์ ได้
เสด็จประทับทอดพระเนตรพื้นที่หนานดาดฟ้า ในปี พ.ศ. 2460 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว น้ำตกท่าแพ เรียกชื่อตามลำคลองที่ไหลผ่านหมู่บ้านท่าแพ อยู่ในท้องที่หมู่ที่ 14 ตำบลช้างกลาง กิ่งอำเภอช้างกลาง น้ำตกท่าแพมีชั้นน้ำตก 10 ชั้น ได้แก่ หนานแพน้อย หนานนางครวญหนานเตย หนานอ้ายซวย หนานปู หนานไผ่ และหนานน้ำรางน้ำตกยอดเหลือง คำว่า “ยอดเหลือง” มีที่มาจากความเหลืองของดอกต้นโยทะกาเพลิงหรือ ชงโคป่า ซึ่งขึ้นปกคลุมยอดไม้บนภูเขา ซึ่งจะออกดอกสีเหลืองในช่วงฤดูแล้ง น้ำตกป่ายอดเหลืองมีชั้นน้ำตกจำนวน 4 ชั้น ได้แก่ หนานเตย หนานกระโดด หนานหญ้าคา และหนานปลิวน้ำตกพรหมโลก อยู่ในท้องที่หมู่ 5 ตำบลพรหมโลก อำเภอพรหมคีรี นํ้าตกพรหมโลกเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่สวยงาม มีชั้นน้ำตกประมาณ 50 ชั้น เปิดบริการให้ท่องเที่ยวได้เพียง 4 ชั้น คือหนานวังน้ำวน หนานวังไม้ปัก หนานวังหัวบัว และหนานวังอ้ายแล ในปี พ.ศ. 2502 พระบาทสมเด็จพระ
เจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จประพาสน้ำตกแห่งนี้ และทรงจารึกพระปรมาภิไธยย่อ “ภ.ป.ร.” และ “ส.ก.” ไว้ที่หน้าผาน้ำตกชั้นที่ 1 (หนานวังน้ำวน)น้ำตกระแนะ อยู่ในท้องที่หมู่ที่ 6 ตำบลพิปูน อำเภอพิปูน มีแหล่งธรรมชาติและน้ำตกที่สวยงาม ประมาณ 10 ชั้นน้ำตกสวนขัน ตั้งอยู่ในท้องที่ หมู่ที่ 3 ตำบลสวนขัน กิ่งอำเภอช้างกลาง น้ำตกสวนขันเปิดให้เข้าเที่ยวชมความงามจำนวน 3 ชั้น นอกจากนี้บริเวณโดยรอบน้ำตกยังมีธรรมชาติที่สวยงามเหมาะแก่การเดินป่าเพื่อชมธรรมชาติและศึกษาพันธุ์ไม้น้ำตกสวนอาย เป็นน้ำตกที่มีความงามแต่ไม่ใหญ่นัก ตั้งอยู่ในท้องที่หมู่ที่ 5 ตำบลคลองละอาย อำเภอฉวาง น้ำตกสวนอาย มีชั้นน้ำตก 5 ชั้น เปิดบริการให้ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจเพียง 3 ชั้นคือ หนานช่องส้มหลอด หนานต้นเหรียง และหนานเลากาน้ำตกเหนือฟ้า อยู่ในท้องที่หมู่ที่ 6 ตำบลพิปูน อำเภอพิปูน น้ำตกเหนือฟ้ามีชั้นน้ำตกที่มีความสวยงามประมาณ 10 ชั้น นอกจากนี้น้ำตกเหนือฟ้ายังเป็นแหล่งรวมประวัติศาสตร์ อันเกิดจากการขัดแย้งในความคิดด้านการปกครองระหว่างผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ผกค.) กับฝ่ายรัฐบาล เนื่องจากพื้นที่น้ำตกเหนือฟ้ามีเขตติดต่อกับพื้นที่น้ำตกกรุงชิงน้ำตกอ้ายเขียว น้ำตกอ้ายเขียว หรือเรียกอีชื่อหนึ่งว่า น้ำตกในเขียว ตั้งอยู่เส้นทางเดียวกับทางไปน้ำตกพรหมโลก ในท้องที่หมู่ที่ 5 ตำบลทอนหงส์ อำเภอพรหมคีรี น้ำตกอ้ายเขียวมีที่มาจากทุเรียนบ้านในละแวกนั้นที่มีชื่อว่า “อ้ายเขียว” ชาวบ้านจึงให้ชื่อน้ำตกแห่งนี้ว่า “น้ำตกอ้ายเขียว”
เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่มีธรรมชาติงดงาม เกิดจากคลองในเขียวซึ่งมีความยาวของลำน้ำประมาณ 35กิโลเมตร มีชั้นน้ำตกไหลลดหลั่นกันประมาณ 100 ชั้น ไหลลงมาจากหน้าผาสูงลดระดับตามความลาดเอียงของภูเขา ทางอุทยานแห่งชาติอนุญาตให้ท่องเที่ยวได้เพียง 9 ชั้น หนานช่องไทร หนานบังใบ หนานไม้ไผ่ หนานเสือผ่าน หนานบุปผาสวรรค์ หนานหินกอง หนานหัวช้าง หนานไทรกวาดลาน และหนานฝาแฝดผาเหยียบเมฆ ตั้งอยู่ในท้องที่ หมู่ที่ 6 ตำบลทอนหงส์ อำเภอพรหมคีรี บริเวณหน้าผาเป็นสันแหลมสามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้ทั้ง 2 ด้าน ดูดวงอาทิตย์ขึ้นปลายแหลมตะลุมพุก ชมพันธุ์พืชที่หายาก เช่น ก้ามกุ้ง กุหลาบเขาหลวง เฟิน และปาล์ม
เส้นทางศึกษาธรรมชาติน้ำตกกรุงชิง เป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติน้ำตกกรุงชิง ซึ่งเส้นทางผ่านป่าดิบชื้นแน่นทึบ เต็มไปด้วยพืชพรรณแปลกตาน่าสนใจ เช่น มหาสดำ ดงชก หลุมขวาก บันไดสามขั้น ศาลาประตูชัย หลุมพอยักษ์ ถ้ำประตูชัย-สนามบาส ป่าชิง-ศาลาดงชิง ช้างร้องไห้ ป่ามังคุด ศาลาฝนแสนห่า และน้ำตกกรุงชิง และร่องรอยประวัติศาสตร์เกี่ยวกับคอมมิวนิสต์ เส้นทางนี้ยังเหมาะสำหรับ
ดูนกด้วย ตลอดเส้นทางจะพบนกป่าทางใต้มากมาย เช่น นกโพระดกเคราเหลือง นกบั้งรอกปากแดง นกหัวขวานลายคอแถบขาว นกปรอดอกลายเกล็ด นกเขียวปากงุ้ม ฯลฯเส้นทางศึกษาธรรมชาติน้ำตกกะโรม เป็นสถานีสื่อความหมายเกี่ยวกับมอส ไลเคนส์
เฟิร์นมหาสดำ ไทร ปลวก รา เห็ด การทดแทนสังคมพืช และพูพอน
สภาพปัญหา1) ด้านขยะมูลฝอย และการกำจัดขยะมูลฝอยจากจากนักท่องเที่ยว
2) การบุกรุกพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติจากชุมชนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณรอบๆ อุทยาน
3) ด้านการถือครองที่ดินของราษฎรในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาหลวง
การศึกษาวิจัยในพื้นที่
1. การศึกษาวิจัย เรื่อง โครงการ ความหลากหลายของพืชวงศ์ขิงในเขตอุทยานแห่งชาติ
เขาหลวง จุงหวัดนครศรีธรรมราช
ผู้วิจัย ผศ.ดร.ฉัตรชัย งามเรียบสกุล
2. การศึกษาวิจัย เรื่อง การจำแนกกลุ่มประชากรของปลาพลวง(Greater Brook carp)
ในน้ำตกกรุงชิง น้ำตกพรหมโลกและน้ำตกอ้ายเขียว อุทยานแห่งชาติเขาหลวง จังหวัดนครศรีธรรมราช
ด้วยการวิเคราะห์เชิงพหุ
ผู้วิจัย นายมนิต พลหลา
3. การศึกษาวิจัย เรื่อง การจัดการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่เหมาะสมกับศักยภาพของ
ชุมชนบ้านปลายอวน ต.พรหมโลก อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช
#ผู้วิจัยน.ส.ชุลีพร ราชเวช
4. การศึกษาวิจัย เรื่อง คุณภาพน้ำและชนิดของปลาน้ำจืดที่พบบริเวณน้ำตกพรหมโลก
น้ำตกวังไม้ปักและน้ำตกอ้ายเขียว อุทยานแห่งชาติเขาหลวง จ.นครศรีธรรมราช
ผู้วิจัย สุภาพร สุทิน และมุกดาวัลย์ จันทน้อย
5. การศึกษาวิจัย เรื่อง การศึกษาภูมิปัญญาชุมชนในการจัดการทรัพยากรป่าไม้ในเขต
อุทยานแห่งชาติเขาหลวง อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช
ผู้วิจัย สิริพรรณ ทองปัสโน
6. การศึกษาวิจัย เรื่อง การจัดการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อย่างมีส่วนร่วมในตำบลกรุงชิง
จังหวัดนครศรีธรรมราช
ผู้วิจัย เชาวลิต สิทธิฤทธิ์
7. การศึกษาวิจัย เรื่อง อบต. เขาพระ เปิดใจลอง “วิจัยท้องถิ่น” ค้นตัวตน เพื่อคนท้องถิ่น
ผู้วิจัย เกศสุดา สิทธิสันติกุล
8. การศึกษาวิจัยเรื่อง แนวทางการจัดการพื้นที่ป่ากันชนของอุทยานแห่งชาติเขาหลวง :
กรณีศึกษา ตำบลกำโลน อำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช
ผู้วิจัย : อร่าม ศรีปรางค์ : 2543
9. การศึกษาวิจัยเรื่อง การออกแบบและพัฒนาเส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติ เส้นทาง
น้ำตกกรุงชิง อุทยานแห่งชาติเขาหลวง จังหวัดนครศรีธรรมราช
ผู้วิจัย : มนตรี บัวแก้ว : 2540
10. การศึกษาวิจัยเรื่อง การประเมินคุณภาพการจัดการด้านนันทนาการในอุทยาน
แห่งชาติ กรณีศึกษาอุทยานแห่งชาติเขาหลวง จังหวัดนครศรีธรรมราช
ผู้วิจัย : ปรีชา วิทยพันธุ์ : 2545
11. การศึกษาวิจัยเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางเศรษฐกิจ-สังคมของราษฎร ที่มี
ส่วนร่วมต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ บริเวณอุทยานแห่งชาติเขาหลวง ตำบลกำโลน อำเภอลาน
สกา จังหวัดนครศรีธรรมราช
ผู้วิจัย : สืบสกุล หนูไชยา : 2543
วิเคราะห์ภาพรวมเพื่อนำไปสู่การศึกษาวิจัย
อุทยานแห่งชาติเขาหลวง เป็นอุทยานแห่งชาติที่ประกาศจัดตั้งมานานแล้ว แต่ยังประสบ
ปัญหาการบุกรุกพื้นที่เพื่อต้องการที่ดินทำกินของราษฎรในพื้นที่ รวมทั้งปัญหาขยะมูลฝอยซึ่งเกิดจากการ ท่องเที่ยว ดังนั้นเพื่อการแก้ไขปัญหาและการจัดการอุทยานแห่งชาติที่มีประสิทธิภาพ จึงควรมีการศึกษาวิจัยในเรื่องต่อไปนี้
การวิจัยเพื่อการแก้ปัญหา
- ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเชิงบูรณาการ
- ด้านการส่งเสริม และสนับสนุนการมีสวนร่วมของชุมชนในการอนุรักษ์
- ด้านการป้องกันทรัพยากรธรรมชาติ
- ด้านการจัดการท่องเที่ยว
- ด้านการจัดการขยะมูลฝอย
การวิจัยเพื่อการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
- การศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพ
- การศึกษาการจัดการการท่องเที่ยวเชิงระบบนิเวศ
- การศึกษาด้านการจัดการขยะมูลฝอยเชิงบูรณาการ
- การปลูกจิตสำนึก และทัศนคติในการอนุรักษ์ระดับท้องถิ่น
เขียนโดย ตะกายดาว ศุภิษฐฌาณ์
ประวัติโดยย่อ วัดพรหมโลก
วัดพรหมโลก เป็น วัดราษฏร์ สังกัดมหานิกาย ตั้งอยู่ที่ บ้านนอกท่า เลขที่ ๑๖๔ หมู่ที่ ๑ ตำบลพรหมโลก อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช มีเนื้อที่ปัจจุบันประมาณ ๑๕ ไร่ ๓ งาน ๗๖ ตารางวา ตามโฉนดที่ดิน เลขที่ ๒๙๔๙ เล่มที่ ๓๐ หน้าที่ ๔๙
วัดพรหมโลก เดิมชื่อวัด(หัวทุ่ง หรือ *หัวท่อง *เป็นภาษาท้องถิ่นทางปักษ์ใต้ หมายถึง พื้นที่สวนหัว หรือ คันนา ) สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ปฐมกษัติริย์ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตอนต้น มีอายุใกล้เคียง กับ กรุงเทพมหานคร ในสมัยสงครามเก้าทัพ กองทัพพม่า ได้บุกเข้าตี เมืองนครศรีธรรมราช บ้านเมือง เกิดความระส่ำระสาย เกิด เหตุการณ์ข้าวยากหมากแพง บ้านเรือน วัดวาอารามถูกเผาทำลาย ทัพพม่าได้กวาดต้อนผู้คนไปเป็นเฉลย จำนวนมาก พ่อท่านขรัวสีทอง สมภารวัดพระสูง (หอพระสูงในปัจจุบัน อยู่บริเวณสนามหน้าเมือง นครศรีธรรมราช ) ได้อพยพพร้อมชาวบ้านหนีพวกทหารพม่ามาลงเรือที่หลังวัดท่ามอญ ( วัดศรีทวีในปัจจุบัน ) แล้วเดินเท้าต่อขึ้นไปทางทิศเหนือ แล้วไปหยุดพักเป็นระยะ ผ่านหมู่บ้าน หลายหมู่บ้าน เช่น บ้านหัวเล ศาลาตีนเป็ด ( บ้านน้ำสรงปัจจุบัน ) ศาลาต้นไพ ( บ้านศาลาไพ ปัจจุบัน ) ศาลาบ้านหาดปรางค์ (บ้านศาลาใหม่ในปัจจุบัน ) ในการเดินทาง ทุกสถานที่ที่พ่อท่านขรัวสีทองหยุดพัก ท่านก็จะ คอยสังเกตดูพื้นที่โดยรอบบริเวณที่หยุดพักค้างแรมพร้อมทั้งสอบถามชาวบ้านในพื้นที่นั้นๆ เพื่อที่จะหา สถานที่สร้างวัดขึ้นมาใหม่ หลังจากหยุดพักแรมที่บ้านหาดปรางค์อยู่ระยะหนึ่งแล้ว ท่านขรัวสีทองก็เดินทางต่อขึ้นไปทางเหนือ ผ่านอีกหลายหมู่บ้าน เช่น บ้านสัปบุรุษ ( บ้านสำรุดอ่อนในปัจจุบัน ) บ้านเขาปูน จนกระทั่ง มาหยุดที่บริเวณริมคลองนอกท่า ( ด้านทิศเหนือของ*วัดพรหมโลก*ในปัจจุบัน) เมื่อศึกสงครามสงบลง ท่านก็ได้พักแรมอยู่ที่นี่ และ ท่านได้สังเกตเห็นว่า บริเวณนี้เป็นพื้นที่ เหมาะแก่การสร้างที่พักสงฆ์ได้ เพราะอยู่ ติดริมคลอง การสัญจรไปมาสะดวกสบาย น้ำท่าก็อุดมสมบูรณ์ เพราะ คลองนอกท่า มีต้นน้ำที่ไหลมาจากเทือกเขาหลวงที่อยู่ทางด้านทิศตะวันตก ท่านจึงได้ชักชวนชาวบ้านในพื้นที่ สร้างกุฏิเล็กๆขึ้นหนึ่งหลัง พอที่จะพักผ่อน และ ทำสมณะกิจได้ ชาวบ้านและคนทั่วไปเรียกว่า “วัดเลี้ยงปลา “
เนื่องจากบริเวณนี้อยู่ติดลำคลองซึ่งมีปลาอาศัยอยู่ชุกชมมาก ต่อมาเมื่อถึงฤดูน้ำหลาก น้ำจากเขาหลวงที่อยู่ด้านทิศตะวันตกจะเอ่อล้นตลิ่ง และ ไหลแรงขึ้นมาท่วมบริเวณพื้นที่พักสงฆ์และกัดเซาะพื้นที่วัด อยู่เป็นประจำทุกปี สร้างความเสียหายให้แก่ พื้นที่ และ เสนาสนะ ท่านขรัวสีทองเล็งเห็นว่าในภายภาคหน้าหากเหตุการณ์เป็นอย่างนี้คงไม่เหมาะแน่ จึงปรึกษา กับ ชาวบ้าน และ มองหาพื้นที่ที่จะย้ายไปสร้างวัดขึ้นใหม่ ทางทิศใต้ของที่ตั้งเดิม ซึ่งติดกับทุ่งนา เป็นพื้นที่โล่ง ไม่ห่างจากพื้นที่เดิมมากนัก ท่านขรัวสีทองเห็นว่า เป็นที่สัพปายะ เหมาะแก่การสร้างวัด จึงได้ชักชวนชาวบ้าน สร้างเป็นสำนักสงฆ์ พร้อมทั้งสร้างกิเพิ่มขึ้นอีกหลายหลัง จนมีความเจริญขึ้นตามลำดับ และ วัดนี้ถูกเรียกว่า วัดหัวทุ่งหรือหัวท่องในภาษาใต้ท้องถิ่น ต่อมา เมื่อท่านขรัวสีทอง ได้มรณภาพลง ก็มีเจ้าอาวาสอีกหลายรูปติดต่อกัน จนมาถึงสมัยพระมหาเชือบ ธมฺมปาโล เป็นเจ้าอาวาส ได้สร้างอุโบสถขึ้นหนึ่งหลัง และ ผูกพัทธสีมา ใน ปีพ.ศ.๒๔๘๒ และ ท่านเห็นว่าพื้นที่ของวัด อยู่ในบริเวณที่ราบเชิงเขาหลวงซึ่งมองดูสูงใหญ่ตระห่าน เหมือนเขาพระสุเมรุ จึงขอเปลี่ยนชื่อวัดจากวัดหัวทุ่ง มาเป็น วัดพรหมโลก ให้เหมาะสอดคล้องกับสถานที่ตั้ง และ ลักษณะของภูมิศาสตร์ของพื้นที่บริเวณนี้ และ ใช้ชื่อนี้มาจนถึงปัจจุบัน วัดพรหมโลก ก็มีความเจริญขึ้นตามลำดับหลังจากพระอธิการเชือบ ธมฺมปาโล ได้มรณภาพ ก็มีเจ้าอาวาสต่อมาอีกหลายรูป มีการพัฒนา วัดไปตามยุคสมัย จนกระทั่งมาถึงสมัย พระอธิการเอื้อน สาวโก ได้สร้างโรงเรียนประชาบาลขึ้นหนึ่งหลัง จนกระทั่งมาถึงสมัยพระสมุห์เกลื่อน ฐิตเตโช เป็นเจ้าอาวาส วัดพรหมโลกมีความเจริญมาก มีการสร้างกุฏิสงฆ์ และ เสนาสะนะอีกหลายอย่าง เช่น ศาลาการเปรียญ หอฉัน เป็นต้น ด้วยว่าพระสมุห์เกลื่อน ท่านเป็นพระนักพัฒนา เป็นพระทำงาน แต่ในเรื่องของ ศีล จะริยาวัตร ของ สงฆ์ท่านก็ไม่ได้บกพร่อง จึงยังให้เกิดศรัทธา ต่อศาสนิกชนโดยรอบวัดพรหมโลกเป็นอย่างมาก เมื่อทางวัดทางคณะสงฆ์จะต้องการสร้างเสนาสะนะสิ่งใด ชาวบ้านจะมาช่วยกันเต็มที่ ทั้งออกแรงงาน แรงทรัพย์ โดยเฉพาะตัวท่านเองจะคอยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง และ ลงมือทำในสิ่งที่สมณะพึงทำได้โดย ไม่ได้อยู่เฉย ท่านเป็นพระที่ขยัน ทั้งเรื่องการงาน และ กิจการของสงฆ์ ท่านยังเป็นคนชอบ คนไม่เกียจคร้าน และ ท่านจะสนับสนุน คนขยันในทุกๆเรื่อง เรื่องนี้จะเห็นได้จาก หลังจากที่ท่านมรณภาพไปแล้ว ชาวบ้านที่เคารพศรัทธาในตัวท่าน พระสมุห์เกลื่อน พร้อมใจกัน สร้างรูปหล่อเหมือนของท่านไว้เป็นอนุสรณ์ให้ชนรุ่นหลังได้ระลึกถึงคุณงามความดี คุณประโยชน์ที่ท่านสร้างไว้ และ เพื่อกราบไหว้บูชา บนบานศาลกล่าว เรื่องการงานที่อยากให้ประสบความสำเร็จ ชาวบ้านบริเวณวัดพรหมโลกทุกบ้านจะรู้ดีถึงความศักดิ์สิทธิของท่าน แม้ท่านจะมรณะภาพไปแล้ว ท่านยังคอยเป็นที่พึ่งทางด้านจิตใจของชาวบ้านในละแวกนี้ ได้เป็นอย่างดี หลังจากพระสมุห์เกลื่อน ฐิตเตโช ได้มรภาพลง พระครูวุฒิ ธรรมสาร ( สมปอง ธมฺมสาโร ) เป็นเจ้าอาวาสรูปต่อมา และ ได้มีการพัฒนาวัดในหลายๆด้าน โดยเฉพาะด้านยาสมุนไพร ท่านพ่อท่านสมปอง ธมฺมสาโร เป็นผู้ค้นคว้า ตำรายาสมุนไพรเพื่อรักษาผู้ป่วยที่ถูกงูพิษกัด เป็นที่เชื่อถือ และ นับถือของชาวบ้านในจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นอย่างดีจนมาถึงปัจจุบัน และ เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกร ชาวอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช(ในขณะนั้น อำเภอพรหมคีรียังขึ้นอยู่กับอำเภอเมือง) และ แวะเยี่ยมเยือนพสกนิกรที่มารอรับเสด็จที่วัดพรหมโลก ยังความปลาบปลื้มปีติให้แก่ประชาชนชาวพรหมโลกเป็นอย่างมากนอกจากนี้พระครูวุฒิธรรมสาร ยังเป็นพระนักเทศน์มหาชาดอีกด้วยและเคยแสดงพระธรรมเทศนามหาชาดต่อหน้าพระที่นั่งด้วย และ เป็นท่านผู้ตั้งชื่ออำเภอพรหมคีรี และ เป็นเจ้าคณะอำเภอพรหมคีรีรูปแรกด้วย หลังจากพระครูวุฒิธรรมสาร ( สมปอง ธมฺมสาโร ) มรณภาพ พระครูบรรหารวุฒิชัย( ณรงค์ชัย ปญฺญาวุฑโฒ ) ก็เป็นเจ้าอาวาสรูปต่อมา และ เป็นเจ้าคณะอำเภอรูปที่สองของอำเภอด้วย และ วัดพรหมโลก ก็ได้มีการพัฒนาขึ้นในอีกหลายๆด้าน มีการสร้าง และ ปรับปรุงเสนาสะนะใหม่ๆขึ้นอีกหลายๆอย่าง และ ได้สร้างอุโบสถหลังใหม่ขึ้น และ ปรับปรุงหลังเก่าเป็นวิหารประดิษฐานพระพุทธรูป มีการปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณลานวัด จัดให้มีกิจกรรมหลายอย่างเพื่อให้เด็กและเยาวชนชุมชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างของวัดซึ่งจะเป็นการเผยแผ่ และ สืบทอดอายุพระพุทธศาสนา พร้อมกันนี้ได้ร่วมมือกับหน่วยงานราชการให้จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ตามอัธยาศัย และ ห้องสมุดประชาชนขึ้นในบริเวณวัด และ ได้ร่วมกับกิ่งกาชาดอำเภอพรหมคีรี ร่วมกับ คุณโสภา มาศดิตถ์ นายมนัสวงศ์ ทัศนวงศ์ สร้างสถานพยาบาลรักษาผู้ป่วยถูกงูพิษกัดด้วยสมุนไพร “บ้านกาชาดอุทิศ “เพื่อสืบสาน และอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น หมองู ของพระครูวุฒิธรรมสาร ให้คงอยู่ต่อไป เพื่อประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย จนถึงปัจจุบันนี้.
ทำเนียบรายนาม เจ้าอาวาสวัดพรหมโลก( ตามคำบอกเล่าและเท่าที่ค้นหาได้ )
๑. ท่านขรัวสีทอง พ.ศ.๒๓๒๕ – มรณภาพ
๒. ท่านสมภารกลา - มรณภาพ
๓. ท่านสมภารคงเสือ - มรณภาพ
๔. ท่านสมภารนุ่น - ลาสิกขาบท
๕. พระอธิการทอง คงฺฆสุวณฺโณ ๒๔๓๐ – ๒๔๕๑ มรณภาพ
๖. พระใบฏีกาช่วย ๒๔๕๓ – ๒๔๖๑ (ภายหลังท่านย้ายไปอยู่วัดแจ้ง ต.ท่างิ้ว อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช )
๗. พระมหาเชือบ ธมฺมปาโล ๒๔๖๓ – ๒๔๘๓ ( ภายหลังไปอยู่วัดสุปัณณาราม (ทุ่งคา)อ.สิชลจ.นครศรีธรรมราชและได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระครูไพศาลพลานุศาสน์ )
๘.พระอธิการเอื้อน สาวโก ๒๔๘๓ – ๒๔๘๗ ลาสิกขาบท
๙. พระมหาอรุณ อรุโณ ๒๔๘๗ – ๒๔๙๐ ลาสิกขาบท
๑๐.พระสมุห์เกลื่อน ฐิตเตโช ๒๔๘๗ – ๒๔๙๙ มรณภาพ
๑๑.พระครูวุฒิธรรมสาร (สมปอง ธมฺมสาโร ) ๒๕๐๐ – ๒๕๓๖ มรณภาพ
๑๒.พระครูบรรหารวุฒิชัย ( ณรงค์ชัย ปญฺญาวุฑโฒ ) ๒๕๓๖ – ปัจจุบัน
เนื่องจากบริเวณนี้อยู่ติดลำคลองซึ่งมีปลาอาศัยอยู่ชุกชมมาก ต่อมาเมื่อถึงฤดูน้ำหลาก น้ำจากเขาหลวงที่อยู่ด้านทิศตะวันตกจะเอ่อล้นตลิ่ง และ ไหลแรงขึ้นมาท่วมบริเวณพื้นที่พักสงฆ์และกัดเซาะพื้นที่วัด อยู่เป็นประจำทุกปี สร้างความเสียหายให้แก่ พื้นที่ และ เสนาสนะ ท่านขรัวสีทองเล็งเห็นว่าในภายภาคหน้าหากเหตุการณ์เป็นอย่างนี้คงไม่เหมาะแน่ จึงปรึกษา กับ ชาวบ้าน และ มองหาพื้นที่ที่จะย้ายไปสร้างวัดขึ้นใหม่ ทางทิศใต้ของที่ตั้งเดิม ซึ่งติดกับทุ่งนา เป็นพื้นที่โล่ง ไม่ห่างจากพื้นที่เดิมมากนัก ท่านขรัวสีทองเห็นว่า เป็นที่สัพปายะ เหมาะแก่การสร้างวัด จึงได้ชักชวนชาวบ้าน สร้างเป็นสำนักสงฆ์ พร้อมทั้งสร้างกิเพิ่มขึ้นอีกหลายหลัง จนมีความเจริญขึ้นตามลำดับ และ วัดนี้ถูกเรียกว่า วัดหัวทุ่งหรือหัวท่องในภาษาใต้ท้องถิ่น ต่อมา เมื่อท่านขรัวสีทอง ได้มรณภาพลง ก็มีเจ้าอาวาสอีกหลายรูปติดต่อกัน จนมาถึงสมัยพระมหาเชือบ ธมฺมปาโล เป็นเจ้าอาวาส ได้สร้างอุโบสถขึ้นหนึ่งหลัง และ ผูกพัทธสีมา ใน ปีพ.ศ.๒๔๘๒ และ ท่านเห็นว่าพื้นที่ของวัด อยู่ในบริเวณที่ราบเชิงเขาหลวงซึ่งมองดูสูงใหญ่ตระห่าน เหมือนเขาพระสุเมรุ จึงขอเปลี่ยนชื่อวัดจากวัดหัวทุ่ง มาเป็น วัดพรหมโลก ให้เหมาะสอดคล้องกับสถานที่ตั้ง และ ลักษณะของภูมิศาสตร์ของพื้นที่บริเวณนี้ และ ใช้ชื่อนี้มาจนถึงปัจจุบัน วัดพรหมโลก ก็มีความเจริญขึ้นตามลำดับหลังจากพระอธิการเชือบ ธมฺมปาโล ได้มรณภาพ ก็มีเจ้าอาวาสต่อมาอีกหลายรูป มีการพัฒนา วัดไปตามยุคสมัย จนกระทั่งมาถึงสมัย พระอธิการเอื้อน สาวโก ได้สร้างโรงเรียนประชาบาลขึ้นหนึ่งหลัง จนกระทั่งมาถึงสมัยพระสมุห์เกลื่อน ฐิตเตโช เป็นเจ้าอาวาส วัดพรหมโลกมีความเจริญมาก มีการสร้างกุฏิสงฆ์ และ เสนาสะนะอีกหลายอย่าง เช่น ศาลาการเปรียญ หอฉัน เป็นต้น ด้วยว่าพระสมุห์เกลื่อน ท่านเป็นพระนักพัฒนา เป็นพระทำงาน แต่ในเรื่องของ ศีล จะริยาวัตร ของ สงฆ์ท่านก็ไม่ได้บกพร่อง จึงยังให้เกิดศรัทธา ต่อศาสนิกชนโดยรอบวัดพรหมโลกเป็นอย่างมาก เมื่อทางวัดทางคณะสงฆ์จะต้องการสร้างเสนาสะนะสิ่งใด ชาวบ้านจะมาช่วยกันเต็มที่ ทั้งออกแรงงาน แรงทรัพย์ โดยเฉพาะตัวท่านเองจะคอยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง และ ลงมือทำในสิ่งที่สมณะพึงทำได้โดย ไม่ได้อยู่เฉย ท่านเป็นพระที่ขยัน ทั้งเรื่องการงาน และ กิจการของสงฆ์ ท่านยังเป็นคนชอบ คนไม่เกียจคร้าน และ ท่านจะสนับสนุน คนขยันในทุกๆเรื่อง เรื่องนี้จะเห็นได้จาก หลังจากที่ท่านมรณภาพไปแล้ว ชาวบ้านที่เคารพศรัทธาในตัวท่าน พระสมุห์เกลื่อน พร้อมใจกัน สร้างรูปหล่อเหมือนของท่านไว้เป็นอนุสรณ์ให้ชนรุ่นหลังได้ระลึกถึงคุณงามความดี คุณประโยชน์ที่ท่านสร้างไว้ และ เพื่อกราบไหว้บูชา บนบานศาลกล่าว เรื่องการงานที่อยากให้ประสบความสำเร็จ ชาวบ้านบริเวณวัดพรหมโลกทุกบ้านจะรู้ดีถึงความศักดิ์สิทธิของท่าน แม้ท่านจะมรณะภาพไปแล้ว ท่านยังคอยเป็นที่พึ่งทางด้านจิตใจของชาวบ้านในละแวกนี้ ได้เป็นอย่างดี หลังจากพระสมุห์เกลื่อน ฐิตเตโช ได้มรภาพลง พระครูวุฒิ ธรรมสาร ( สมปอง ธมฺมสาโร ) เป็นเจ้าอาวาสรูปต่อมา และ ได้มีการพัฒนาวัดในหลายๆด้าน โดยเฉพาะด้านยาสมุนไพร ท่านพ่อท่านสมปอง ธมฺมสาโร เป็นผู้ค้นคว้า ตำรายาสมุนไพรเพื่อรักษาผู้ป่วยที่ถูกงูพิษกัด เป็นที่เชื่อถือ และ นับถือของชาวบ้านในจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นอย่างดีจนมาถึงปัจจุบัน และ เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกร ชาวอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช(ในขณะนั้น อำเภอพรหมคีรียังขึ้นอยู่กับอำเภอเมือง) และ แวะเยี่ยมเยือนพสกนิกรที่มารอรับเสด็จที่วัดพรหมโลก ยังความปลาบปลื้มปีติให้แก่ประชาชนชาวพรหมโลกเป็นอย่างมากนอกจากนี้พระครูวุฒิธรรมสาร ยังเป็นพระนักเทศน์มหาชาดอีกด้วยและเคยแสดงพระธรรมเทศนามหาชาดต่อหน้าพระที่นั่งด้วย และ เป็นท่านผู้ตั้งชื่ออำเภอพรหมคีรี และ เป็นเจ้าคณะอำเภอพรหมคีรีรูปแรกด้วย หลังจากพระครูวุฒิธรรมสาร ( สมปอง ธมฺมสาโร ) มรณภาพ พระครูบรรหารวุฒิชัย( ณรงค์ชัย ปญฺญาวุฑโฒ ) ก็เป็นเจ้าอาวาสรูปต่อมา และ เป็นเจ้าคณะอำเภอรูปที่สองของอำเภอด้วย และ วัดพรหมโลก ก็ได้มีการพัฒนาขึ้นในอีกหลายๆด้าน มีการสร้าง และ ปรับปรุงเสนาสะนะใหม่ๆขึ้นอีกหลายๆอย่าง และ ได้สร้างอุโบสถหลังใหม่ขึ้น และ ปรับปรุงหลังเก่าเป็นวิหารประดิษฐานพระพุทธรูป มีการปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณลานวัด จัดให้มีกิจกรรมหลายอย่างเพื่อให้เด็กและเยาวชนชุมชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างของวัดซึ่งจะเป็นการเผยแผ่ และ สืบทอดอายุพระพุทธศาสนา พร้อมกันนี้ได้ร่วมมือกับหน่วยงานราชการให้จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ตามอัธยาศัย และ ห้องสมุดประชาชนขึ้นในบริเวณวัด และ ได้ร่วมกับกิ่งกาชาดอำเภอพรหมคีรี ร่วมกับ คุณโสภา มาศดิตถ์ นายมนัสวงศ์ ทัศนวงศ์ สร้างสถานพยาบาลรักษาผู้ป่วยถูกงูพิษกัดด้วยสมุนไพร “บ้านกาชาดอุทิศ “เพื่อสืบสาน และอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น หมองู ของพระครูวุฒิธรรมสาร ให้คงอยู่ต่อไป เพื่อประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย จนถึงปัจจุบันนี้.
ทำเนียบรายนาม เจ้าอาวาสวัดพรหมโลก( ตามคำบอกเล่าและเท่าที่ค้นหาได้ )
๑. ท่านขรัวสีทอง พ.ศ.๒๓๒๕ – มรณภาพ
๒. ท่านสมภารกลา - มรณภาพ
๓. ท่านสมภารคงเสือ - มรณภาพ
๔. ท่านสมภารนุ่น - ลาสิกขาบท
๕. พระอธิการทอง คงฺฆสุวณฺโณ ๒๔๓๐ – ๒๔๕๑ มรณภาพ
๖. พระใบฏีกาช่วย ๒๔๕๓ – ๒๔๖๑ (ภายหลังท่านย้ายไปอยู่วัดแจ้ง ต.ท่างิ้ว อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช )
๗. พระมหาเชือบ ธมฺมปาโล ๒๔๖๓ – ๒๔๘๓ ( ภายหลังไปอยู่วัดสุปัณณาราม (ทุ่งคา)อ.สิชลจ.นครศรีธรรมราชและได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระครูไพศาลพลานุศาสน์ )
๘.พระอธิการเอื้อน สาวโก ๒๔๘๓ – ๒๔๘๗ ลาสิกขาบท
๙. พระมหาอรุณ อรุโณ ๒๔๘๗ – ๒๔๙๐ ลาสิกขาบท
๑๐.พระสมุห์เกลื่อน ฐิตเตโช ๒๔๘๗ – ๒๔๙๙ มรณภาพ
๑๑.พระครูวุฒิธรรมสาร (สมปอง ธมฺมสาโร ) ๒๕๐๐ – ๒๕๓๖ มรณภาพ
๑๒.พระครูบรรหารวุฒิชัย ( ณรงค์ชัย ปญฺญาวุฑโฒ ) ๒๕๓๖ – ปัจจุบัน
เรียบเรียงโดยตะกายดาว ศุภิษฐฌาณ์
พลูปากหราม
สมัยก่อนชาวนครศรีธรรมราชนิยมกินหมาก ในแต่ละวันกินไม่น้อยกว่าสามคำ บางคนก็กินไม่ขาดปาก จนปากลิ้น ฟันแดง นานๆเข้าจากฟันแดงก็กลายเป็นฟันดำ ซึ่งในสมัยนั้นเรียกฟันดำว่า "ฟันงาม" ผู้ที่นิยมกินหมากก็อยากจะให้ฟันของตนงาม ก็จะเสาะหา หมากและพลูที่มีคุณภาพและรสชาติดี ถูกปาก นั่นก็คือ "พลูปากหราม" สำหรับพลูที่ใช้กินหมากมีหลายชนิดด้วยกัน เช่น พลูเผ็ด พลูลูกยาว แต่พลูที่นิยมมากที่สุดคือพลูปากหราม เพราะกินแล้วฟันงาม
บ้านปากหราม เป็นชื่อดั้งเดิมของบ้านนอกท่า มีอาณาบริเวณคลอบคลุมบ้านปลายอวนกับบ้านอ้ายเขียว อยู่ในเขตตำบลพรหมโลก อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช พื้นที่บ้านปากหราม ตั้งอยู่เชิงเขา อยู่ใกล้แหล่งน้ ธรรมชาติสมบูรณ์ มีความชุ่มชื้นตลอดทั้งปี พลูจึงเจริญงอกงามดีเป็นพิเศษกว่าที่อื่น และรสชาติถูกปากชาวนคร
ลักษณะของพลูปากหราม ใบจะเขียวอ่อน รูปใบสวยงามคล้ายใบโพธิ์ ปลายใบแหลม ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ไม่หนาเกินไป ใบพลูกรอบน่าเคี้ยวขนาดก็พอดีคำ รสเผ็ดพอดี ไม่เผ็ดมากเหมือนพลูเผ็ด และไม่จืดเหมือนพลูก้านยาว
ในปัจจุบันบ้านปากหราม จะไม่ค่อยมีคนรู้จัก จะมีก็คนเก่าแก่ในพื้นที่เรียกบ้าง แต่จะเปลี่ยนจากปากหรามเป็นสวนหราม ซึ่งสวนของคุณแม่ผู้เขียนก็มีสวนสมรมอยู่ที่นี่ด้วย และเพื่อให้พลูปากหรามยังคงมีอยู่ คู่กับชาวพรหมคีรี หลายครัวเรือนที่สนใจปลูก โดยปลูกลงไปในสวนสมรม ที่มีอยู่ ให้เถาว์พลูยึดเกาะกับต้นไม้ใหญ่ในสวนที่มีอยู่ เป็นการเสริมรายได้อีกทาง ซึ่งราคาจำหน่ายพลูปากหรามในปัจจุบัน ขายเป็นกำ กำละ 8-15 บาท แต่ละกำจะมีพลูอยู่4แถว แถวละ 10 ใบ และสามารถเก็บใบพลูได้ตลอดทั้งปี ทิ้งช่วงระยะห่างบ้างให้พลูแตกยอดใหม่ ก็ประมาณ 3 เดือน พลูปากหราม สามารถเสริมรายได้อย่างงาม กับคนที่เห็นคุณณ่าในการอนุรักษ์พันธุ์พืชชนิดนี้ไว้
ลักษณะของพลูปากหราม ใบจะเขียวอ่อน รูปใบสวยงามคล้ายใบโพธิ์ ปลายใบแหลม ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ไม่หนาเกินไป ใบพลูกรอบน่าเคี้ยวขนาดก็พอดีคำ รสเผ็ดพอดี ไม่เผ็ดมากเหมือนพลูเผ็ด และไม่จืดเหมือนพลูก้านยาว
ในปัจจุบันบ้านปากหราม จะไม่ค่อยมีคนรู้จัก จะมีก็คนเก่าแก่ในพื้นที่เรียกบ้าง แต่จะเปลี่ยนจากปากหรามเป็นสวนหราม ซึ่งสวนของคุณแม่ผู้เขียนก็มีสวนสมรมอยู่ที่นี่ด้วย และเพื่อให้พลูปากหรามยังคงมีอยู่ คู่กับชาวพรหมคีรี หลายครัวเรือนที่สนใจปลูก โดยปลูกลงไปในสวนสมรม ที่มีอยู่ ให้เถาว์พลูยึดเกาะกับต้นไม้ใหญ่ในสวนที่มีอยู่ เป็นการเสริมรายได้อีกทาง ซึ่งราคาจำหน่ายพลูปากหรามในปัจจุบัน ขายเป็นกำ กำละ 8-15 บาท แต่ละกำจะมีพลูอยู่4แถว แถวละ 10 ใบ และสามารถเก็บใบพลูได้ตลอดทั้งปี ทิ้งช่วงระยะห่างบ้างให้พลูแตกยอดใหม่ ก็ประมาณ 3 เดือน พลูปากหราม สามารถเสริมรายได้อย่างงาม กับคนที่เห็นคุณณ่าในการอนุรักษ์พันธุ์พืชชนิดนี้ไว้
เขียนโดย ตะกายดาว ศุภิษฐฌาณ์
บ้านปลายอวน
มุ่งหน้าตามเส้นทางหมายเลข 4016 มุ่งหน้าจากตัวเมืองนครศรีธรรมราชสู่อำเภอพรหมคีรี หลังจากไปกราบนมัสการ พระบรมธาตุนครศรีธรรมราช และเที่ยวเลือกซื้อสินค้าของฝากพื้นเมือง และเช่าบูชาองค์พ่อจตุคาม-รามเทพ รุ่นต่างๆตามที่เพื่อนๆฝากกันมา เช่น รุ่นปัญญา ทรัพย์ทวี จัดสร้างโดย มหาวิทยาลัยชีวิตนครศรีธรรมราช ที่เป็นที่ต้องการของหลายๆคน อยากมีไว้สะสมและเก็บไว้บูชาตามความเชื่อและศรัทธารถวิ่งผ่านหน้ามหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราชไป ประมาณ4-5 กิโลเมตร ก็เข้าสู่เขตอำเภอพรหมคีรี ด้านทิศตะวันตกของตัวอำเภอพรหมคีรี จรดเทือกเขาหลวง มองไกลๆเหมือนฉากภาพวาดที่วิจิตรตระการตายิ่งนัก ธรรมชาติช่างสรรค์สร้างความอุดมสมบูรณ์ ให้กับคนที่นี่ มีพร้อมพรั่งทั้ง อาหาร น้ำ ที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การทำเกษตรกรรม หรืออยู่อาศัย เพราะอากาศที่นี่ สดชื่น สูดลมหายใจได้เต็มปวด ไม่มีมลพิษจากท่อไอเสีย ไม่มีสารเคมีของโรงงานอุตสาหกรรม ไม่มีเสียงดังรบกวนเหมือนชาวบ้านข้างสนามบินสุวรรณภูมิ แต่ที่นี่ มีแต่ความสุขถนนคอนกรีตแคบๆ บริเวณสองข้างทางมีบ้านเรือนหลังน้อยใหญ่เรียงรายอย่างสงบและเรียบง่าย ดูสวยงามแปลกตาไปจากอดีตเมื่อ 15 ปีก่อนบ้าง แต่ยังแฝงไว้ด้วยความสุขที่สามารถสัมผัสได้จากสีหน้าและแววตาของชาวบ้านที่แสดงออกขณะต้อนรับแขกผู้มาเยือน บางคนอาจรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาบ้าง แต่นึกไม่ออกว่าเป็นลูกหลานบ้านใคร ได้แต่มองแล้วยิ้มๆ พนมมือรับไหว้ แล้วทักทายตามมารยาทของเจ้าของหมู่บ้าน แววตาบ่งบอกความสงสัยอยู่ภายในใจลึกๆ ว่าลูกสาว หรือสะใภ้บ้านไหน... ช่างสวย งามทั้งรูปร่างหน้าตา กริยามารยาท และสัมผัสได้ถึงความเป็นมิตร ความเอ็นดูที่มีให้กับแขกผู้มาเยือนสวนยางพาราที่เขียวขจี สลับกับสวนผลไม้ หลากหลายชนิด หรือที่ชาวบ้านเรียกอีกอย่างว่า”สวนสมรม” คือการปลูกไม้ผลหลายชนิดอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ปลูกแซมลงไปในป่าธรรมชาติที่มีอยู่แล้วเช่น มังคุด ทุเรียน สะตอ ลูกเนียง จำปาดะ ขนุน กล้วย ดอกดาหลาและพืชผักต่างๆ ประกอบกับ ทำเล ที่ตั้ง ของหมู่บ้านเป็นเส้นทางผ่านไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เช่น น้ำตกพรหมโลก ที่ทำการชมรมเดินป่าท่องเทียวเชิงอนุรักษ์บ้านปลายอวน ตลอดเส้นทางเข้า หมู่บ้านปลายอวน ตำบลพรหมโลก อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยเฉพาะสีสันของวิถีชีวิตของคนในหมู่บ้านปลายอวน สะท้อนเรื่องราวและคำบอกเล่าของหมู่บ้านในอดีต ที่อยู่อาศัยกันแบบพึ่งพาธรรมชาติ และการพึงพาอาศัยกัน อยู่กันแบบเครือญาติ มีความสามัคคี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกันยิ่งมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์รายล้อมรอบหมู่บ้าน พื้นที่ภูเขาหลวงเป็นฉากเบื้องหลังของหมู่บ้าน ช่วงเช้าจะมีสายหมอกปกคลุมภูเขา สีเขียวของป่า สลับกับสีขาวของสายหมอก เสียงนกหลากหลายชนิดร้องสลับกัน เหมือนมีวงดนตรีขนาดใหญ่มาขับกล่อมอยู่กลางหุบเขานี้ ช่างดูงดงามเกินคำบรรยาย เหมือนเป็นหมู่บ้านในฝันของใครหลายๆคนเรื่องราวของชุมชนที่ได้ฟังมาน่าสนใจมาก ชุมชนบ้านปลายอวน ไม่ได้จัดอยู่ในสภาพที่ร่ำรวยทางด้านสภาพเศรษฐกิจ เกี่ยวเนื่องเพราะชาวบ้านแห่งนี้ส่วนใหญ่มีอาชีพหลักคือการทำเกษตรกรรม โดยเฉพาะการทำสวนยาง สวนผลไม้ เลี้ยงสัตว์ และการปลูกผัก เพื่อสร้างเป็นอาชีพเสริมสร้างรายได้ แต่คุณภาพชีวิตของผู้คนที่แห่งนี้ก็มีความสุขตามอัตภาพ เพราะมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินสูง ที่สำคัญคนในหมู่บ้านส่วนใหญ่สามารถพึ่งพาตนเองได้โดยไม่มีหนี้สินแต่สำหรับความรู้สึกของชาวบ้านในชุมชนบ้านปลายอวน ซึ่งส่วนใหญ่ตอบเป็นเสียงเดียวกันและอิ่มด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าว่า สิ่งที่ภาคภูมิใจและเป็นแรงขับเคลื่อนให้ทุกคนที่บ้านแห่งนี้เดินหน้าเพื่อชุมชน ในภาวะเศรษฐกิจที่ค่าครองชีพสูงเช่นนี้ คือความพยายามที่จะพึ่งพาตนเองให้ได้ นอกเหนือจากการช่วยเหลือจากรัฐในลักษณะอื่นๆ ตามความเหมาะสม โดยเฉพาะการสร้างกิจกรรมเพื่อให้คนในหมู่บ้านได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข โดยเฉพาะเรื่องของการประหยัดอดออม มีทั้งการเลี้ยงปลา เลี้ยงไก่ เลี้ยงกบ ปลูกพืชผักสวนครัว และผักพื้นบ้านต่างๆ ที่สามารถรับประทานได้ทุกวัน ปลูกทุกอย่างที่กินและกินทุกอย่างที่ปลูก ปลูกผักสวนครัวรั้วกินได้ เช่น ผักเหรียง บวบหวาน ฟัก ผักหวาน ผักกูด มะเขือ พริก ตะไคร้ ถั่วพู ตำลึง ชาวบ้านมีกินมีใช้อย่างเพียงพอ มีอาหารสำรอง เหลือกินเหลือใช้จึงจะนำไปขายเป็นรายได้เสริมของครอบครัว และยังเป็นการใช้พื้นที่ แรงงาน เวลา และสิ่งที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า เปรียบเสมือนมีซุปเปอร์มาร์เก็ตประจำบ้าน ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีตู้เย็นไว้แช่กับข้าว แต่เมื่อนึกอยากจะรับประทานอะไรก็สามารถเก็บผักจากต้นมารับประทานได้เลย เศษอาหารที่เหลือก็สามารถนำมาให้เป็นอาหารปลาหรือเป็ด ไก่ ที่เลี้ยงไว้ เศษไม้ก็นำมาเผาเป็นถ่านไว้ใช้ได้ จะทำอย่างไรให้ 1 มื้อนั้นไม่มีค่าใช้จ่าย ถึงแม้ชาวบ้านจะไม่มีรายได้เข้ามาในครอบครัว แต่ก็สามารถอยู่ได้โดยไม่มีรายจ่ายเช่นกันเหตุผลหลักที่ชาวบ้านพยายามต่อสู้เพื่อความอยู่รอดในสภาพเศรษฐกิจที่ผันผวนให้ชาวบ้านเห็นการออมและการลดรายจ่ายในครัวเรือน โดยเฉพาะการทำเกษตรกรรมที่มีผลผลิตไม่แน่นอนเนื่องจากปัจจัยภายนอกจากสภาพดินฟ้าอากาศ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาวิธีการอยู่รอดอย่างเหมาะสมกับสภาพของชุมชน เน้นให้ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างมีคุณค่า ปัจจัยที่ทำให้คนบ้านปลายอวนเดินหน้าได้ถึงทุกวันนี้เพราะคนส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่โดยกำเนิดไม่มีคนนอกเข้ามาอาศัย ซึ่งตนมองว่าทำให้คนที่นี่มีความรู้สึกสำนึกรักบ้านเกิด แต่อดีตดินแดนแห่งนี้อุดมสมบูรณ์ไม่เคยขาดน้ำ เสมือนสายเลือดสำคัญในการหล่อเลี้ยงชุมชน เพราะมีแหล่งต้นน้ำสำคัญจากเทือกเขาหลวง ในการทำเกษตรกรรม ทำสวนยาง สวนผลไม้ ได้ผลผลิตดีมาโดยตลอด และในลำคลองยังมีปลาหลากชนิด ให้ชาวบ้านปลายอวนจับมาจำหน่าย แปรรูปและประกอบอาหารได้ตลอดทั้งปี นอกจากนี้กิจกรรมที่เสริมสร้างให้คนบ้านปลายอวนรักสามัคคี เหนียวแน่นกันมากขึ้น อย่างน่าประทับใจ คือ ทุกวันที่ 14 เมษายน ของทุกปี จะเป็นวันรวมญาติและ วันรดน้ำผู้ใหญ่ในหมู่บ้าน วันแรม 14-15 ค่ำ เดือน 10 วันสารทเดือนสิบ ซึ่งเป็นวันทำบุญให้กับญาติที่ล่วงลับไปแล้ว กิจกรรมต่างๆ เหล่านี้เสมือนสายใยแห่งความรัก และความศรัทธาที่ก่อเกิดภายในชุมชน อย่างมีความสุข และล้วนเกิดขึ้นจากการสำนึกรักบ้านเกิด ของคนบ้านปลายอวนทั้งสิ้น ไม่ว่าพี่น้อง ลูกหลานของชาวบ้านปลายอวน จะออกไปทำงาน หรือประกอบอาชีพ มีครอบครัวอยู่ที่ใดก็ตาม ในวันดังกล่าว ต้องกลับมาบ้านเกิด ด้วยจิตสำนึกของทุกคนที่ได้รับการปลูกฝัง จากรุ่นสู่รุ่นไออุ่นแห่งความสุขจากเครือญาติ ผสมกับกลิ่นอายธรรมชาติที่รายล้อม ทุกครั้งที่กลับเข้ามาในชุมชนบ้านปลายอวนแห่งนี้ มีความสุข สดชื่น หายใจสูดอากาศลึกๆ กักตุนความสุขไว้เต็มปอดอยากจะเอาไปฝากเพื่อนๆในเมืองที่ยังคงนั่งทำงาน จดจ่ออยู่กับตัวเลข การเงิน และจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่วันละ 7-8 ชั่วโมง สีเขียวกับความสดชื่นจากธรรมชาติไม่เคยได้สัมผัสจับต้องได้แต่มองผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์จากการไปท่องเที่ยวในโลกของอินเตอร์เน็ต...เมือย้อนมองกลับไปอีกฝากของสังคมเมองที่มีปัญหาอยู่รอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของค่าครองชีพ การเดินทาง สุขภาพ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เมื่อแต่ละคนมีปัญหาเกิดขึ้นและหากไม่มีชุมชนที่ดีรองรับ คนเราอาจจะแก้ปัญหาในทางที่ผิดได้ เพราะเราไม่สามารถแก้ปัญหาของเราที่เกิดขึ้นด้วยตัวเองได้ทุกครั้ง การมีชุมชนจะช่วยให้เรามีที่ปรึกษา มีแบบอย่างการดำเนินชีวิตของผู้อื่น ช่วยให้เราสามารถตัดสินใจแก้ปัญหา ให้กับตนเองได้ดีขึ้น ชุมชนจึงเป็นเหมือนที่รองรับภาระทางกายภาพ ภาระทางใจของคนในชุมชน เมื่อคนมีปัญหาครอบครัว ปัญหาความขัดแย้ง แทนที่จะต้องไปหาคนนอกชุมชน ก็สามารถให้คำปรึกษากันเองได้ภายในชุมชนก่อนการขาดความเป็นชุมชน จะทำให้เส้นทางการถ่ายทอดวัฒนธรรมและภูมิปัญญา ถูกตัดขาด เพราะคนปฏิสัมพันธ์กันเองอย่างลึกซึ้งทางความคิดและพฤติกรรมมีน้อยลง มีความสัมพันธ์อย่างตื้นเขิน คนในเมืองแม้อยู่บ้านติดกันก็มักจะไม่รู้จักกัน คนในชนบทก็เหลือแต่เด็กและคนแก่ แต่ละคนจึงอยู่ในสภาพต่างคนต่างอยู่ แต่ละคนก็มุ่งทำงานหาเงินและตอบสนองสิ่งที่ตัวเองสนใจ คนในสังคมรับในสิ่งที่สื่อมวลชนและสิ่งที่ออกมาจากแหล่งศูนย์กลางมอบให้ เกิดการถ่ายเทวัฒนธรรมใหม่ที่มีลักษณะสากลคล้ายคลึงกันทั่วประเทศ เช่น การแต่งกายเลียนแบบดารา การร้องเพลง ๆ เดียวกัน ดูหนังเรื่องเดียวกัน ดูรายการต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นรายการข่าว ละคร และเกมโชว์ ต่างก็ให้ความสนใจ กับจอตู้สี่เหลี่ยม มากกว่าสนใจกันและกันเสียอีก ทำให้แม้กระทั่งคนในครอบครัวเดียวกันเอง ก็ขาดการปฏิสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง ขาดความเข้าใจกัน ขาดความสนใจกันอย่างแท้จริง หากสภาพครอบครัว ยังมีความสัมพันธ์อย่างหละหลวมเช่นนี้ สภาพความเป็นชุมชนยิ่งไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ส่งผลให้ขาดการถ่ายทอดทางวัฒนธรรม มีแต่เพียงการรับวัฒนธรรมจากที่ต่าง ๆ ภายนอกและละเลยวัฒนธรรมเดิมของตนความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงานและการแข่งขัน เพื่อความอยู่รอดในสังคมที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีคนจำนวนน้อยสนใจผู้อื่นที่อยู่นอกขอบเขตครอบครัวและกลุ่มเพื่อนของตน คนจำนวนไม่น้อยจึงดำเนินชีวิตอย่างไร้ที่ปรึกษา คนที่มีปัญหาทางจิตใจไม่มีช่องทางระบาย ไม่มีกิจกรรมชุมชนให้ผ่อนคลาย ทำให้คนในสังคมจำนวนมากเกิดความเครียด เกิดความว้าเหว่เปลี่ยวเหงาในจิตใจ เพราะความเพิกเฉยที่คนในสังคมมีให้ต่อกัน ทำให้หลายคนอาจตัดสินใจผิดในการดำเนินชีวิตและไม่สามารถแก้ปัญหาชีวิตด้วยวิธีที่ถูกต้องเมื่อนึกถึงปัญหาของสังคมเมืองที่ประสบมา ทำให้รู้ว่าตัวเราเองก็เก่งที่สามารถใช้ชีวิตแบบชาวเมืองอยู่ได้นานเป็นสิบปี ทำให้เข้มแข็งขึ้น มองหลายสิ่งหลายอย่างได้อีกหลากหลายมุมมอง ระวังตัวเองมากขึ้น เพราะโลกนี้ไม่ได้สวยงามเหมือนภาพเบื้องหน้าที่เรามองอยู่ข้ามสะพาน ไม้เก่าๆ ชะเง้อมองลงไปดู ลำธารเบื้องล่าง ที่น้ำใส มองเห็นก้อนกรวดหลากสี ปลาน้อยใหญ่แหวกว่ายไปมา แม้แขนจะเริ่มล้า เพราะหิ้วขนม เสื้อผ้าของฝากมากมายเข้าบ้าน แต่พอผ่านลำธารย่างก้าวสู่ลานบ้าน ที่เคยวิ่งเล่นสมัยเด็กๆ ความสดชื่นกระชุ่มกระชวย กลับมาอีกครั้ง ถึงกับถอดรองเท้าเดินสัมผัสทรายละเอียดที่เคยเหยียบย่ำ วิ่งเล่น เกลือกกลิ้งอยู่หน้าบ้านยามฝนตก ย้อนถึงถึงวัยเด็กที่ซนเหมือนลิงทโมน กับพี่ชาย ลานบ้าน ยังอยู่ในสภาพเดิม เพียงแต่ต้นไม้จะโตสูงขึ้น และแม่เอาไม้ดอกไม้ประดับ หลากหลายพันธ์มาปลูกมากขึ้น แนวต้นชบาที่ปลุกเป็นรั้วรอบบ้านก็ยังอยู่ ออกดอกบานสะพรั่ง ดอกเข็มสีแดงข้างอ่างล้างเท้า ริมทางขึ้นบันใดบ้าน ถูกตัดตดแต่งเป็นระเบียบ แม่ขยายพันธ์กล้วยไม้แขวนไว้ ทั่วระเบียงบ้านเสียงเจ้าโทนหมาพันธุ์พื้นบ้านที่ พี่ชายเอามาเลี้ยงไว้ ส่งสัญญาณให้สมาชิกบนเรือนรับทราบ และลงมาต้อนรับ หลานชายสองคน รีบวิ่งมาสวัสดีและช่วยหิ้วถุงขนม ของฝากขึ้นเรือน พี่สะใภ้ยกน้ำมาให้ดื่ม และพูดคุยกับพ่อ แม่ พี่ชาย ร วมทั้งหลานๆ อย่างสนุกสนาน ปีที่ผ่านมา หลานชายคนเด็กพึ่งจะคลานได้ ตอนกลับมาเดือนสิบปีก่อน แต่มารอบนี้ วิ่งทั่วบ้านคุยอ้อแอ้ ฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ปู่กับย่า ก็ช่วยกันแปลสื่อความหมาย กันอย่างมีความสุข ในความน่ารักน่าเอ็นดูของหลานๆ พี่ชายกับพี่สะใภ้ยังคงอยู่บนเรือนใหญ่กับพ่อแม่ และตื่นเช้าตรู่ไปกรีดยาง พ่อกับแม่ ก็ช่วยกันเลี้ยงหลาน หุงหาอาหารเตรียมไว้ใส่บาตรตอนเช้า และเตรียมไว้ให้ลูกหลานรับประทาน หลังจากกลับมาจากกรีดยาง นอกจากนั้นพ่อก็จะปลูกผัก รดน้ำผักข้างบ้าน ในยามเช้าบ้าง เป็นการออกกำลังกายไปในตัว ครอบครัวจึงมีเวลาอยู่ด้วยกัน และลดค่าใช้จ่าย สุขภาพก็แข็งแรง สมบูรณ์ ผักที่ปลูกก็ปลอดสารพิษ และได้รับประทานผักสดทุกวัน ผลไม้ในสวนก็มีให้รับประทานทุกฤดู บางวันเกือบจะไม่ได้ใช้เงินในการซื้อหาอาหารด้วยซ้ำ นอกจากของใช้ภายในบ้านที่พี่สะใภ้ จะเข้ามาในตลาดแล้วซื้อไปเก็บไว้ บางอย่างที่จำเป็นต้องใช้ในครัวเรือน เช่น สบู่ ยาสระผม น้ำยาลางจาน น้ำยาซักผ้า พี่สะใภ้กับแม่ ก็ไปเข้ากลุ่มแม่บ้าน ที่มีการจัดอบรม โดยมีวิทยากรของรัฐมาอบรม ถ่ายทอดวิธีการผลิตให้ด้วยความพร้อมหลายๆด้านของครัวครัว และสภาพแวดล้อมของชุมชนที่ดี นึกภาวนาว่าเมื่อไหร่จะมีคำสั่งให้ย้ายมาประจำการในตัวอำเภอพรหมคีรี จะได้มีเวลาอยู่กับครอบครัวและธรรมชาติที่สวยงาม แม้จะรู้สึกสำนึกรักบ้านเกิด แต่บางครั้ง ภาระและหน้าที่ก็ยังต้องให้เรารอต่อไป ไม่นานเกินรอ เราจะกลับมารับใช้บ้านเกิดอีกครั้ง…
เขียนโดย ตะกายดาว ศุภิษฐฌาณ์